ทำไมขนส่งสาธารณะมีแค่กรุงเทพฯ! “ปิยบุตร” เยือนขอนแก่น ชี้ 3 ปมสำคัญ “ปลดล็อกท้องถิ่น”

“ปิยบุตร” ร่วมเวที สภานักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น รณรงค์ “ปลดล็อกท้องถิ่น” ยกปัญหา “ขนส่งมวลชนสาธารณะ” ที่ไม่มีในจังหวัดอื่น เป็นเพราะไม่มีการกระจายอำนาจที่แท้จริง – ชี้ 3 ปมสำคัญ พลิกโฉมท้องถิ่น สร้างพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่เข้มแข็ง

 

วันที่ 10 มิถุนายน 2565 ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า กล่าวว่า เดินทางมาหลายจังหวัด ไม่ว่าที่ไหนปัญหาหนึ่งที่พบคือไม่มีขนส่งมวลชนสาธารณะ ประเทศไทยที่ว่ากันว่ามีความเด่นดังเรื่องท่องเที่ยว มีศิลปวัฒนธรรมน่าดึงดูดให้คนมาดู แต่ทำไมเวลาไปเที่ยวก็พบว่า ระบบขนส่งมวลชนซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานหรือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่คนแต่ละจังหวัดพึงมีกลับไม่มี และทำไมจึงเกิดขึ้นแค่กรุงเทพมหานครแห่งเดียว ภาคเอกชนที่ขอนแก่นมีความคิดผลักดันเรื่องนี้มาไม่ต่ำกว่า 10 ปี แต่ก็ยังไปไม่ถึงไหน

นี่สะท้อนปัญหาเรื่องของการกระจายอำนาจ และแม้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) คิดจะทำเรื่องขนส่งมวลชนเป็นบริการสาธารณะให้ประชาชน ก็ติดล็อกไม่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง เพราะขนส่งมวลชนหนึ่งเส้นไม่สามารถหาหน่วยงานรับผิดชอบได้หน่วยเดียวจบ ต้องไปคุยกับ สำนักโยธาธิการผังเมืองจังหวัด คุยกับทางหลวงชนบท คุยกับมหาดไทย คมนาคม ฯลฯ มีอีกสารพัดหน่วยงานเป็นเจ้าภาพ จนทำให้ผู้บริหารท้องถิ่นที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนไม่สามารถตัดสินใจเด็ดขาดได้ แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีอำนาจเบ็ดเสร็จ

ปัญหาต่อมาก็คือไม่มีงบประมาณ เพราะขนส่งมวลชนสาธารณะเป็นระบบโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ต้องใช้เงินมาก อย่างกรุงเทพมหานคร (กทม.) ที่เป็น อปท. รูปแบบหนึ่ง รถไฟฟ้าหลายสายที่เราเห็น แท้จริงแล้ว กทม. มีอำนาจดูแลอยู่สายเดียว คือ BTS ที่เหลือเป็นของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ในสังกัดกระทรวงคมนาคม และเงินที่ใช้สร้างสายอื่นๆก็เป็นงบประมาณส่วนกลาง ซึ่งแบบนี้ถามว่าเป็นธรรมต่อคนต่างจังหวัดที่เสียภาษีเช่นกันหรือไม่ ทำไมต้องสร้างที่ กทม. แล้วที่อื่นๆ ทำไมคนต่างจังหวัดต้องใช้รถส่วนตัวในการเดินทางเท่านั้้น นี่เป็นส่วนหนึ่งของปัญหาเรื่องการไม่กระจายอำนาจ เป็นเหตุผลที่เราทำรณรงค์เข้าชื่อเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวด 14 การปกครองส่วนท้องถิ่น

ปิยบุตร กล่าวว่า เวลาพูดถึงเรื่องกระจายอำนาจ ปัจจุบันเราจะเห็นว่ามีปัญหาอยู่ใน 3 เรื่องใหญ่ๆ ได้แก่ เรื่องที่ 1.ท้องถิ่นไม่มีอำนาจในการจัดทำบริการสาธารณะที่แท้จริง เรื่องนี้เริ่มตั้งแต่โครงสร้างการปกครองของเราที่ผิดหลักสากล โดยเราให้กระทรวง กรม เป็นนิติบุคคล แทนที่จะให้ราชการส่วนกลางทั้งหมดเป็นนิติบุคคล แล้วกระทรวง กรม เป็นเพียงไส้ในเท่านั้น ซึ่งพอเป็นแบบนี้ทำให้มีปัญหาเรื่องความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ เวลาจะย้ายโอนอะไรต่างๆ ไปสู่ท้องถิ่นก็ติดขัดไปหมด แต่ละหน่วยงานต่างถือกฎหมายคนละตัว มีอำนาจในแบบของตัวเองด้วยเช่นกัน มันจึงวุ่นวาย ท้องถิ่นจะทำอะไรก็ติดขัดไปหมด

ดังนั้น เราจึงปรับวิธีคิดใหม่ จากเดิมที่บอกว่าส่วนกลางทำได้ทุกเรื่อง เปลี่ยนให้ท้องถิ่นทำได้ทุกเรื่องในพื้นที่ตัวเอง แล้วส่วนกลางห้ามทำ ยกเว้นแค่บางเรื่อง เช่น การเงินการคลัง ความมั่นคง การต่างประเทศ ฯลฯ หรือเว้นแต่ถ้าท้องถิ่นไม่มีศักยภาพ แล้วร้องขอมาให้ส่วนกลางช่วย นี่เป็นการคิดจากพื้นที่เป็นหลัก บริการสาธารณะท้องถิ่นต้องเป็นของท้องถิ่นทั้งหมด

ส่วนกลางและภูมิภาคเข้ามาเสริมเมื่อท้องถิ่นทำไม่ได้ และความสัมพันธ์ระหว่างส่วนกลางกับท้องถิ่นต้องตั้งอยู่บนหลักการกำกับดูแล ไม่ใช่ไปสั่งการหรือระงับยับยั้งโครงการที่ผู้บริหารท้องถิ่นคิดจัดทำขึ้น ซึ่งถ้าเห็นว่าโครงการนั้นไม่ชอบก็ต้องไปฟ้องศาลปกครองเอาเอง กรณีนี้จะช่วยแก้ปัญหาการที่ผู้บริหารท้องถิ่นจะทำอะไรต้องไปถามผู้ว่าราชการจังหวัดเสียทุกเรื่องว่าทำได้หรือไม่ รวมถึงแก้การที่ผู้ว่าฯ นายอำเภอมักจะมีจดหมายน้อยสั่งการให้ผู้บริหารทำสิ่งต่างๆ ได้ด้วย

เรื่องที่ 2. ท้องถิ่นไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือในการจัดทำบริการสาธารณะ ซึ่งในที่นี้ก็คืองบประมาณ เพราะทุกวันนี้ท้องถิ่นแต่ละแห่งจัดเก็บได้แต่ภาษีตัวเล็กๆ เช่น ภาษีป้าย ภาษีโรงเรือน ส่วนภาษีตัวใหญ่ๆ เช่น ภาษีสรรพสามิต ภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่เราเสีย 7 % จากการซื้อสินค้านั้น ต้องเข้าส่วนกลางก่อนแล้วค่อยแบ่งกลับมาให้ท้องถิ่น ทั้งๆ ที่การบริโภคเกิดขึ้นที่ไหน ภาษีก็ควรจะใช้ที่นั่น และนอกจากนี้สัดส่วนการจัดสรรรายได้ระหว่างส่วนกลางกับท้องถิ่น ก็อยู่ที่ร้อยละ 65 ต่อ 35 ซึ่งเราจะขยับสัดส่วนตรงนี้ใหม่เป็นร้อยละ 50 ต่อ 50 รวมถึงเปิดโอกาสให้ท้องถิ่นมีโอกาสหารายได้แบบใหม่ๆ ได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นออกพันธบัตร การกู้เงินมาลงทุน หรืออาจจะมีการออกสลากในจังหวัดตัวเอง แล้วเอารายได้ส่วนนี้มาสร้างสวัสดิการ เป็นหวยบำนาญให้คนในท้องถิ่นได้ เป็นต้น ซึ่งตรงนี้จะทำให้ท้องถิ่นมีงบประมาณที่จะมาจัดทำบริการสาธารณะเพื่อคนในท้องถิ่นได้
.
เรื่องที่ 3. การตรวจสอบคอร์รัปชั่นและการมีส่วนร่วมของพลเมือง หลายคนเป็นห่วงว่ากระจายอำนาจให้ท้องถิ่นแล้วจะเกิดการคอร์รัปชั่นมากมาย พูดอย่างนี้ทำราวกับว่าส่วนกลางและภูมิภาคไม่มีการทุจริต ทั้งๆ ที่ถ้าไปดูตัวเลขก็จะพบว่าส่วนกลางกับภูมิภาคนั้น มีมูลค่าความเสียหายจากการทุจริตสูงกว่ามาก ส่วนท้องถิ่นแม้มีจำนวนที่เยอะกว่าแต่มูลค่าไม่มากเท่า และที่สำคัญ ส่วนใหญ่เป็นความผิดทางเอกสาร ทางระเบียบด้วย ว่า อปท ใช้งบทำในสิ่งที่ตนไม่มีอำนาจทำ ดังนั้น คำว่ากระจายอำนาจเท่ากับกระจายการโกงจึงฟังไม่ขึ้น และตรงกันข้าม การกระจายอำนาจจะช่วยทำให้การคอร์รัปชั่นลดลงได้ เพราะอำนาจ งบประมาณ ที่ไปอยู่กับท้องถิ่นซึ่งใกล้ชิดประชาชนนั้น ประชาชนจะร่วมตรวจสอบได้ง่ายขึ้น
.
“การจะแก้คอร์รัปชั่นไม่ใช่การไปสร้างองค์กรตรวจสอบเยอะๆ แต่ต้องเติมเรื่องการมีส่วนร่วมประชาชนเข้าไป ซึ่งเรามีข้อเสนอเรื่องการเปิดเผยข้อมูล สัญญาจัดซื้อจัดจ้าง การประชุมสภาท้องถิ่น มติในการประชุมต่างๆ ต้องเปิดเผย ประชาชนต้องรับรู้ นอกจากนี้ ต้องกระตุ้นเรื่องการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยเรามีข้อเสนอเรื่องสภาพลเมืองท้องถิ่น ที่จะถูกออกแบบขึ้นมาเพื่อถ่วงดุลย์และตรวจสอบ ผู้บริหารท้องถิ่นและสภาท้องถิ่น โดยเป็นสภาพลเมืองท้องถิ่นนี้ ทุกคนมีมีโอกาสได้เข้ามาทำหน้าที่ เช่น ให้พลเมืองในท้องถิ่นมาลงทะเบียนไว้ เสร็จแล้วจับสลากเวียนกันเป็นคนละปี สภาแห่งนี้ทำหน้าที่เสนอแนะ ตรวจสอบ ตามดูการทำงานของผู้บริหารท้องถิ่นและสภาท้องถิ่นทุกวัน เรื่องนี้จะช่วยแก้ปัญหาความเป็นพวกเดียวกันของสภาท้องถิ่นกับผู้บริหารท้องถิ่นได้ และนอกจากนี้ ยังเป็นการเพิ่มอำนาจให้ประชาชน ทำให้ทุกคนรู้สึกถึงความเป็นเจ้าของท้องถิ่น เป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่เข้มแข็งและกระตือรือร้นด้วย” ปิยบุตร กล่าว