รองโฆษกพรรคก้าวไกล เผย เสียงตอบรับดีขึ้นเรื่อยๆ โค้งสุดท้ายมั่นใจ ‘วิโรจน์-ส.ก.’ พลิกแซงเข้าวิน

วันที่ 16 พฤษภาคม นายกรุณพล เทียนสุวรรณ รองโฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวว่า ขณะนี้เข้าสู่โค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพมหานคร และสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) ที่ผ่านมา ตนเดินทางไปพบปะพูดคุยกับพี่น้องประชาชนในหลายพื้นที่ทั่วกรุงเทพมหานคร เพื่อขอเสียงสนับสนุน นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร เบอร์ 1 เป็นผู้ว่ากรุงเทพฯ และเลือกผู้สมัคร ส.ก.ของพรรคก้าวไกล ทั้ง 50 เขต ไปเป็นเสียงสนับสนุนในการแก้กฎระเบียบของกรุงเทพฯที่ไม่เป็นธรรม รวมถึงเป็นเสียงสะท้อนจากพื้นที่ในการแก้ปัญหาและสร้างการพัฒนาที่ตรงกับศักยภาพและความต้องการของพื้นที่

นายกรุณพลกล่าวต่อว่า จากการเดินทางไปเกือบทั่วทุกเขต พี่น้องประชาชนมีความชัดเจนมากขึ้นว่า การเปลี่ยนแปลงกรุงเทพฯจำเป็นต้องมีผู้บริหารเมืองที่พร้อมแก้ปัญหาถึงรากฐาน และจำเป็นต้องมีทีม ส.ก.จากพรรคเดียวกัน เข้าไปอยู่ในสภา กทม.ทุกความฝันของเขาจึงจะสำเร็จเป็นไปได้จริง

“หลังการปราศรัยใหญ่ของพรรคก้าวไกล เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา ยิ่งสัมผัสได้ว่าพี่น้องประชาชนตอบรับมากขึ้น เพราะเรามองเห็นปัญหาและอนาคตใหม่ของกรุงเทพมหานครในภาพเดียวกัน จึงพร้อมสนับสนุนผู้สมัครจากพรรคก้าวไกล ทั้ง 2 ใบ ผมมั่นใจว่าวันที่ 22 พฤษภาคมนี้ พรรคก้าวไกลจะพลิกแซงเข้าวิน สามารถปักธงกรุงเทพได้ มี พี่วิโรจน์ เป็นผู้ว่าฯ และมี ส.ก.เกินครึ่งสภา กทม.อย่างแน่นอน”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับช่วงเช้าเมื่อผ่านมา นายกรุณพล ได้ร่วมเดินหาเสียงในพื้นที่เขตบางขุนเทียน พร้อม นายวิเชียร กันทาทรัพย์ ผู้สมัคร ส.ก.เขตบางขุนเทียน โดยได้เน้นที่นโยบายการกระจายงบประมาณลงชุมชน 4,000 ล้านบาท เพื่อจัดงบประมาณแบบใหม่ เป็นงบประมาณที่คนกรุงเทพฯเลือกได้

นายวิเชียรกล่าวว่า พื้นที่บางขุนเทียนถือเป็นชายขอบของกรุงเทพมหานคร มีปัญหาความเหลื่อมล้ำเต็มไปหมด หากเราได้ผู้ว่าฯที่ชื่อ วิโรจน์ ลักขณาอดิศร และมี ส.ก.จากพรรคก้าวไกลเข้าไปเสริมทัพ โฉมหน้าของบางขุนเทียนจะเปลี่ยนไปตลอดกาล จะเกิด ‘บางขุนเทียนโมเดล’ เป็นฐานที่มั่นของก้าวไกลในฝั่งธนบุรี และเป็นต้นแบบการพัฒนาแบบเชื่อมท้องถิ่นสู่การเมืองระดับชาติ เพราะมีผู้ว่าฯที่ดูแลระดับเมืองคอยแก้ปัญหาและวางแผนการพัฒนาร่วมกับ ส.ก. ขณะเดียวกันก็เป็นพื้นที่ที่มี ส.ส.จากพรรคก้าวไกล อยู่ในสภา เป็นสามประสานที่สามารถทำได้ทั้งการขับเคลื่อนนโยบายเพื่อสร้างสวัสดิการและคุณภาพชีวิตที่ดีไม่แพ้กรุงเทพฯชั้นใน และผลักดันการแก้ไขกฎหมาย หรือกฎระเบียบที่ไม่เป็นธรรมเพื่อเพิ่มศักยภาพให้ท้องถิ่น เมื่อท้องถิ่นแข็งแรงประเทศก็จะแข็งแรงอย่างยั่งยืนตามมาด้วย