พม่าปัดขวางองค์กรบรรเทาทุกข์เข้ารัฐยะไข่ แจงที่ห้ามเหตุความปลอดภัย

วันที่ 15 กันยายน สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า พม่าได้ออกมาชี้แจงว่าไม่ได้ปิดกั้น องค์กรบรรเทาทุกข์ระหว่างประเทศเข้าพื้นที่รัฐยะไข่ ซึ่งเกิดการปะทะระหว่างทหารพม่ากับกลุ่มติดอาวุธโรฮิงญาจนทำให้ชาวมุสลิมโรฮิงญาเกือบ 4 แสนคนต้องอพยพครั้งใหญ่ไปบังคลาเทศ แต่อาจเพราะเจ้าหน้าที่ในพื้นที่อาจห้ามเข้าด้วยเหตุผลของความปลอดภัย ซึ่งสถานการณ์ในรัฐยะไข่ ทำให้ชาวโรฮิงญาต้องหนีตายจากทหารที่่พวกเขาเล่าว่าเป็นการกำจัดชาติพันธุ์ และเกิดความกลัวต่อวิกฤตมนุษยธรรมที่ถูกเปิดเผย

โดยท่าทีของพม่ามีขึ้นหลังจากที่ กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯแถลงว่า สหรัฐได้ส่ง นายแพตทริค เมอร์ฟีย์ รองผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ส่งเสียงความกังวลของรัฐบาลสหรัฐฯในช่วงอยู่ที่พม่าสุดสัปดาห์นี้และเรียกร้องให้เปิดการเข้าถึงไปในพื้นที่ขัดแย้งให้กับเจ้าหน้าที่ด้านมนุษยธรรม

นายซอว์ เทว์ โฆษกรัฐบาลพม่าแจงกับสื่อว่า เราไม่ได้ปิดกั้นใคร เราไม่ได้ปิดกั้นองค์กรใดที่ส่งความช่วยเหลือให้กับผู้คนในพื้นที่ แต่อาจมีความยากลำบากในการเดินทางเข้าไปพื้นที่หวงห้ามที่เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นประกาศไว้ด้วยเหตุผลของความปลอดภัย

อย่างไรก็ตาม รอยเตอร์สรายงานว่า ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่านายเมอร์ฟีย์จะเดินทางเยือนรัฐยะไข่ และนายซอว์ เทว์ปฏิเสธที่จะกล่าวถึงคำร้องขอจากทูตสหรัฐฯว่าจะตอบรับหรือไม่

ด้านนายมิทช์ แมคคอนเนล ผู้นำวุฒิสภาเสียงข้างมากกล่าวว่า ตนได้พูดคุยกับนางอองซาน ซูจีแล้ว โดยซูจีกล่าวว่า กำลังทำงานในการให้ความช่วยเหลือไปยังพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรง

ขณะที่นายวิน เมียด เอว์ รัฐมนตรีสวัสดิการสังคม การบรรเทาทุกข์และตั้งถิ่นฐานของพม่ากล่าวว่า จนถึงขณะนี้ ยังไม่มีองค์กรบรรเทาทุกข์สามารถเข้าถึงพื้นที่ความขัดแย้งได้ แต่นายวินปฏิเสธที่จะไม่พูดว่าองค์กรต่างๆถูกปิดกั้น แต่ทั้งหมดนี้เป็นงานของรัฐบาล

ส่วนนายอันโตนิโอ กูเตอเรส เลขาธิการองค์การสหประชาชาติหรือยูเอ็นได้เรียกร้องให้พม่ายุติความรุนแรง โดยกล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในรัฐยะไข่ว่าเป็นการกำจัดชาติพันธุ์ แต่พม่าได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว โดยกล่าวว่าทหารดำเนินปฏิบัติการกวาดล้างกลุ่มติดอาวุธปลดปล่อยชาวโรงฮิงญาแห่งรัฐอาระกันหรืออาซาร์  ซึ่งเป็นกลุ่มก่อการร้าย และกลุ่มติดอาวุธนี้เองที่วางเพลิงเผาบ้านเรือน

นอกจากนี้ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลได้กล่าวว่า พวกเขามีหลักฐานที่แสดงถึงปฏิบัติการแผ่นดินมอดไหม้ขนาดใหญ่ ทั่วทั้งตอนเหนือของรัฐยะไข่ ซึ่งเห็นว่าเป็นการกำจัดชาติพันธุ์อย่างแน่นอน

“หลักฐานนี้เรียกว่าแย้งไม่ได้ ทหารพม่าซึ่งอยู่ที่ทางตอนเหนือของรัฐยะไข่ ได้เผาผลาญพื้นที่เป้าหมายเพื่อผลักชาวมุสลิมโรฮิงญาออกจากพม่า จึงไม่ผิดแน่ว่านี่คือการกำจัดชาติพันธุ์” ทีราน่า ฮัสซาน ผู้อำนวยการกลุ่มไครซิสเรสปอน กล่าว

กลุ่มดังกล่าวระบุว่า พวกเขาตรวจสอบกลุ่มเพลิงขนาดใหญ่จำนวน 80 ในพื้นที่ของชาวโรฮิงญาตั้งแต่วันที่ 25 สิงหาคมที่ผ่านมา แต่ความเสียหายขยายวงกว้างหรือไม่นั้น ไม่สามารถยืนยันได้ เพราะถูกปิดกั้นการเข้าถึงโดยรัฐบาลพม่า

“ดูเหมือนพวกเขาจะเผาทำลายทั้งหมู่บ้านให้ราบเป็นหน้ากลอง” กลุ่มไครซิสเรสปอน กล่าวและว่า มีรายงานน่าเชื่อถือระบุว่า กลุ่มติดอาวุธชาวโรฮิงญาเข้าเผาบ้านเรือนของชาวพุทธยะไข่และชนกลุ่มน้อยอื่นๆ ทำให้กลุ่มคนที่ไม่ใช่มุสลิมราว 3 หมื่นคนต้องไร้ที่อยู่

ก่อนหน้านี้ กลุ่มติดอาวุธได้ประกาศหยุดแต่ฝ่ายเดียวเป็นเวลา 1 เดือน เพื่อเปิดทางให้องค์กรบรรเทาทุกข์สามารถเข้าช่วยเหลือได้ แต่รัฐบาลพม่าปฏิเสธพร้อมกับกล่าวว่า พวกเขาไม่เจรจากับผู้ก่อการร้าย อีกทั้งรัฐบาลยังกล่าวหาองค์กรบรรเทาทุกข์บางกลุ่มส่งเสบียงอาหารให้กับกลุ่มติดอาวุธ

ทั้งนี้ กลุ่มแพทย์ไร้พรมแดน ได้กล่าวเมื่อวานนี้ว่า พวกเขาได้รับรายงานว่าคลีนิคในพื้นที่รัฐยะไข่ถูกเผาราบและเรียกร้องให้ทุกคนเข้าที่ขาดแคลนความต้องการ สามารถเข้าถึงการรักษาอย่างเป็นอิสระ เช่นเดียวกับยูเอ็น ที่ได้เรียกร้องขอเปิดทางให้เข้าถึงพื้นที่ขัดแย้งในรัฐยะไข่