ผบ.ตร.เผยเตรียมพร้อมมาตรการสนามบิน-ชายแดน รองรับเปิดประเทศ 1 พ.ย. นี้

วันที่ 28 ตุลาคม 2564 เมื่อเวลา 13.40 น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมเปิดประเทศ เริ่ม 1 พฤศจิกายน นี้ว่า เรื่องการเปิดประเทศสำหรับนักท่องเที่ยวดู 2 เรื่องหลักคือ 1.ความสะดวกรวดเร็วในการบริการ 2.ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน คือปลอดภัยจากโรคโควิด-19 ปลอดภัยจากอุบัติภัย ส่วนเรื่องการดูแลก่อนเปิดประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ปฏิบัติตามนโยบาย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สั่งระดมปราบปรามอาชญากรรมในทุกรูปแบบ เพื่อเตรียมพื้นที่ให้พร้อมที่จะมีแขกชาวต่างประเทศเดินทางเข้ามา ส่วนด้านชายแดนได้ร่วมกับหน่วยที่เกี่ยวข้องทั้งเหล่าทัพ ฝ่ายปกครอง ซึ่งจะเห็นว่ามีผลการจับกุมอย่างต่อเนื่อง

ขณะนี้มีการเร่งรัดเรื่องการค้ามนุษย์ได้ดำเนินการจับกุมมาโดยตลอด อีกเรื่องที่เร่งรัดอีกหนึ่งประเด็นคือการหลอกลวง ฉ้อโกงออนไลน์ หรือการจัดระวังป้องกันการนำข้อมูลส่วนบุคคลและการเงิน ธนาคาร บัตรเครดิตต่างๆ นำไปใช้ ซึ่งส่วนนี้จะเน้นประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลความรู้กับประชาชน โดยทำงานร่วมกันกับหลายหน่วยงาน ในเรื่องของไซเบอร์วัคซีน ซึ่งมอบให้บช.สอท. และบช.ก. ช่วยกันจัดทำให้เป็นระบบให้ดียิ่งขึ้นไปกว่านี้

ส่วนการเตรียมความพร้อมของท่าอากาศยานต่างๆ ในการรับนักท่องเที่ยวทั่วประเทศ พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวว่า มีการซักซ้อม และเตรียมกำลัง ตนได้พูดคุยกับพล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม. สนามบินหลักจะมีที่ กรุงเทพฯ และภูเก็ต ทั้งนี้อาจจะมีการเปิดหลายประเทศจริง แต่เชื่อว่าจะมีเดินทางเข้ามาประมาณ 11 ประเทศ ส่วนปริมาณที่จะเข้ามาเท่าไหร่จะต้องดูอีกครั้ง อย่างไรก็ตามได้จัดเตรียมกำลังพล และมาตรการ ขั้นตอนต่างๆ ตั้งแต่การลงจากเครื่องบิน ว่าจะต้องดำเนินการอย่างไรบ้าง ซึ่งมีหลายหน่วยงานได้มีการพูดคุยประชุมกันอยู่แล้ว

ในส่วนที่ตำรวจเกี่ยวข้องก็ได้เตรียมกำลังพลและอุปกรณ์ต่างๆ ไว้พร้อมแล้ว นอกจากนี้ตำรวจท่องเที่ยว และตำรวจพื้นที่ก็จะประสานกับตำรวจตม. เรื่องการดูแลความปลอดภัย โดยจะประสานข้อมูลกับผู้ที่นำพานักท่องเที่ยวเข้ามา หรือการขายทัวร์ ก็จะทราบข้อมูลล่วงหน้าว่าจะพักกันที่ไหนอย่างไร จึงจัดเตรียมเครื่องมือในการลงทะเบียนผู้พักต่างๆ ได้ทบทวนกันร่วมกับตำรวจท่องเที่ยว สมาคมโรงแรม ตม. และจังหวัด ก็ได้มีการพูดคุยกันมาตลอด

พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวอีกว่า ส่วนรายละเอียดเรื่องการเข้ามาในประเทศจะมีประเทศไหนเข้ามาบ้างนั้นจะต้องพูดคุยกับทางสตม.อีกครั้ง เพราะบางประเทศเข้ามาได้จริง แต่ถ้ากลับประเทศจะต้องกักตัวก็มองว่าอาจจะเข้ามาไม่มากนัก อย่างเช่นประเทศจีน ถ้ามาประเทศไทย เมื่อกลับประเทศจะต้องไปกักตัว ก็อาจจะมีที่ไม่ใช่มาเที่ยวเพียงอย่างเดียว อาจจะมีคนที่สนใจมาทำธุรกิจ หรือพักอาศัยในระยะยาวก็อาจจะมีเข้ามา ส่วนมาตรการป้องกันอาชญากรที่อาจจะเข้ามานั้น ทางด่านหน้าคือระบบไบโอแมทริกซ์ ซึ่งใครที่ถูกบันทึกมีประวัติกระทำผิด แม้จะเปลี่ยนเอกสาร เปลี่ยนชื่อ ก็สามารถตรวจพบ ทั้งนี้ยืนยันมีระบบป้องกันที่เป็นมาตรฐานโลก

พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวถึงการป้องกันตามแนวชายแดนที่มีแรงงานต่างชาติเข้ามาจำนวนมากว่า เราร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย ฝ่ายทหาร ฝ่ายปกครอง และมีการพัฒนาตามรูปแบบของคนที่พยายามเข้ามา ถ้าเข้าช่องนี้ไม่ได้ ก็จะไปเข้าช่องทางอื่น เจ้าหน้าที่ก็ต้องตามไป เรามีการใช้เครื่องมือ ใช้กล้องและเครื่องมือพิเศษช่วยในการทำงาน และมีการปรับยุทธวิธี ไม่จำเป็นว่าต้องตั้งด่านตามถนนบางเส้นทาง บางครั้งก็จัดชุดลาดตระเวนเข้าไปตรวจแนวชายแดน แนวช่องทางที่สงสัย หรือมีการติดตั้งอุปกรณ์พิเศษอย่างอื่น เรื่องการสืบสวนคือสิ่งสำคัญ ตำรวจพยายามสืบถึงนายทุนว่าเป็นใคร สมมติว่าสกัดครั้งนี้ได้ เขายังไม่หยุดและยังมีความพยายามที่จะทำต่อ ก็ต้องดำเนินคดีให้หมด

“ส่วนพวกเอเย่นต์ที่นำเข้ามา ที่มีการออกหมายจับไว้ กำลังดำเนินการไล่จับกุมตัวอยู่ ส่วนระยะหลังๆ จะเห็นว่ามีค่านายหน้า แต่คนที่รับค่านายหน้าเป็นชาวต่างชาติ ซึ่งไม่ได้เคลื่อนไหวประจำอยู่ในประเทศ มีการข้ามไปข้ามมา ก็ต้องหาให้ได้ว่าปลายทางมีการเชื่อมโยงกันแบบไหนอย่างไร ในประเทศไทยเรามีนายทุนคนไหนที่เกี่ยวข้องบ้าง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐคนไหนก็ต้องดำเนินคดี” ผบ.ตร. กล่าว