วันที่ 10 ตุลาคม 2564 พลโทภราดร พัฒนถาบุตร เลขานุการคณะกรรมการกิจการพิเศษพรรคเพื่อไทยอดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) กล่าวว่าสถานการณ์การเมืองต่อแต่นี้ไป เป็นภาพของการลับ ลวง พราง นายกรัฐมนตรีสืบทอดอำนาจใช้การอำเสมือนว่าตนยังมีพลังพิเศษค้ำยันอยู่ มีการปล่อยข่าวว่านายกฯคนนี้ยังคงจับมือได้แน่นกับพรรคการเมืองใหญ่ปีกรัฐบาลและจะอยู่ยาวต่อไปอีก 5 ปี หลอกลวงให้ขบวนการไม้ค้ำยันละเมอเชื่อตามกันไป

สถานการณ์ขณะนี้ได้เดินมาตรงกับคำทำนายในอดีตกาลที่ว่าเมื่อประเทศเข้าสู่ยุคถิ่นกาขาวแล้วก็จะเปลี่ยนผ่านไปเป็นยุคประชาวิไล ยุคถิ่นกาขาวนั้นหมายความถึงเหล่าผู้นำจะเห็นผิดเป็นชอบ กิเลสบังตา พาชาติสู่ความล่มจม ซึ่งปัจจุบันนี้เราได้มายืนอยู่ตรงจุดนั้นแล้ว ประชาชนจึงหมดความอดทนต้องลุกฮือขึ้นมานำสู่การพลิกฟื้นประเทศเปลี่ยนผ่านมาเป็นตามคำทำนายคือยุคประชาวิไล ซึ่งคือยุครุ่งเรืองของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชนนั่นเอง

ผลงานความบัดซบของรัฐบาลนี้คงไม่ต้องสาธยายกันแล้ว การดำรงอยู่ของนายกฯสืบทอดอำนาจยืนอยู่ด้วยการหลอกลวงให้เชื่อมั่นกันเองระหว่างตัวนายกฯกับขบวนการค้ำยัน แต่แท้จริงสถานการณ์เดินมาถึงทางตันแล้ว ดูได้จากการแก้ไขกฎหมายโรคติดต่อ รัฐบาลไม่กล้ายุติให้ออกเป็นพระราชกำหนดตามที่วางไว้ เพราะกลัวว่าสภาผู้แทนจะไม่ยอมผ่านเป็นพระราชบัญญัติให้ แล้วจะเป็นผลให้นายกฯสืบทอดอำนาจต้องตกเก้าอี้

ภาพที่ว่ากอดคอกันแน่นมันจึงเป็นเพียงภาพลวงตา ที่ว่ามีภูมิคุ้มกันแข็งแกร่งก็แค่วาทะกรรมปลอบใจตัวเอง ภูมิคุ้มกันที่ดีที่สุดคือศรัทธาจากประชาชน แต่นายกฯสืบทอดอำนาจกลับหามีไม่ แถมยังไปสร้างวิกฤติศรัทธาให้กับทุกขบวนการที่ตัวเองใช้อ้างมาคุ้มหัว พากันพังเป็นแถบไปตามกัน อุบัติเหตุทางการเมืองเปลี่ยนตัวนายกฯมาถึงจุดยากที่จะหลีกเลี่ยง ขบวนการภูมิคุ้มกันนายกฯสืบทอดอำนาจส่งสัญญาณเลิกค้ำยันได้ยินเสียงแว่วมาแต่ไกล