เผยแพร่ |
---|
‘โรม’ ชี้ชัด แก้ รธน.แบบพลังประชารัฐ คือ มหากาพย์ ‘กินรวบประเทศ’ บทใหม่ ย้ำ แก้ ม.272 ยกเลิกอำนาจ ส.ว. คือประเด็นเดียวเท่านั้นใน รธน.ที่ต้องทำให้เด็ดขาด เรียกร้อง ประเด็นอื่นค่อยไปว่ากันต่อใน สสร.
วันที่ 23 มิถุนายน 2564 ที่อาคารรัฐสภา รังสิมันต์ โรม ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้อภิปราย ญัตติการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยระบุว่า ญัตตินี้มีตัวตั้งตัวตีหลักในการริเริ่มคือพรรคพลังประชารัฐ เมื่อได้อ่านเนื้อหาและพิจารณาถึงบริบทแวดล้อมแล้ว บอกได้ว่าเป็นบทใหม่ของ มหากาพย์แผนกินรวบประเทศไทยเพื่อสืบทอดอำนาจเผด็จการ ทำให้ประชาชนตัวหดลีบเล็กที่สุด ต้องอยู่อย่างไม่มีศักดิ์ศรีทั้งที่เป็นเจ้าของอำนาจตัวจริงของประเทศนี้
“การรัฐประหารเมื่อปี 2549 ได้ทำลายรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง เปลี่ยนองค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญให้ขาดหายจากการยึดโยงกับประชาชน ตั้งคนของตัวเองเข้าไปใช้อำนาจกวาดล้างทำลายบรรดาผู้แทนราษฎรฝ่ายตรงข้าม สร้างบรรยากาศทางการเมืองภายใต้รัฐธรรมนูญที่ร่างขึ้นเองแล้วเอามาผ่านประชามติจอมปลอม ที่ทำให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งไม่สามารถบริหารประเทศได้ ค่อยๆ รุกคืบผ่านการยุบพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม จากนั้นก็เชื้อเชิญบางกลุ่มก้อนในพรรคนั้นให้เข้ามุ้งของตัวเอง จัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร ทำลายขบวนการประชาชน แม้มีรัฐบาลฝ่ายประชาธิปไตย ก็ค่อยๆ ใช้กฎหมายบั่นทอนให้อ่อนแอ และสร้างสถานการณ์ไปสู่การรัฐประหารอีกครั้งเมื่อปี 2557”
รังสิมันต์ กล่าวต่อว่า เมื่อยึดอำนาจแล้วก็รวบหัวรวบหางข้าราชการ รวมศูนย์กลุ่มทุนต่างๆ ให้มาสนับสนุนตัวเอง สร้างความเหลื่อมล้ำ ทำประชาชนยากแค้นเพื่อให้เหลือความหวังกับแค่เศษเงินที่รัฐบาลโยนลงไป จากนั้นก็ดูดบรรดาอดีต ส.ส. หัวคะแนนของพรรคตรงข้ามให้มาเป็นพวก เมื่อตัวเองพร้อมก็จัดเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญที่ร่างใหม่แล้วเอามาลงประชามติจอมปลอมอีกครั้ง โดยใช้เครื่อข่ายอำนาจและอิทธิพลต่างๆ ที่สั่งสมมาเอื้อประโยชน์ให้กับตัวเอง หนำซ้ำยังแผ่กิ่งก้านสาขาผ่านการดึงพวกพ้องน้องพี่ให้มาดำรงตำแหน่งต่างๆ เพื่อเป็นหลักประกันให้รัฐบาล
ต่อมา บริหารประเทศไปสักระยะก็ตีความกฎหมายให้พวกตนถูกเสมอ อีกฝ่ายผิดเสมอ ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ เพื่อที่ฝ่ายเผด็จการจะสถาปนาระบอบประยุทธ์ได้อย่างใจปรารถนา จะได้ไม่มีใครมาตั้งคำถามเรื่องตั๋วช้าง จะได้ไม่มีใครมาตั้งคำถามเรื่องวัคซีน จะได้ไม่มีใครมาแฉเรื่องไอโอ จะได้ไม่มีใครมาเสนอกฎหมายยกเลิกเกณฑ์ทหารหรือกฎหมายแก้ไขมาตรา 112 จะได้ไม่มีใครมาตั้งคำถามเรื่องงบประมาณของกองทัพและงบประมาณที่ใช้เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์อีกต่อไป
รังสิมันต์ ระบุว่า สาเหตุที่ไล่เรียงมาทั้งหมดก็เพื่อให้เห็นแผนการใหญ่ของฝ่ายเผด็จการ แม้หลายเดือนที่ผ่านมาได้มีความพยายามหยุดยั้งความชั่วร้าย ผ่านการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 และตั้ง ส.ส.ร. เพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่สุดท้ายก็เกิดการล้มกระดาน โดยตัวการไม่ใช่คนอื่นคนไกล คือ ส.ส. จากพรรคพลังประชารัฐ และ ส.ว. 250 คน ซึ่งบุคคลเหล่านี้ไม่อยากเห็นรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เกิดขึ้น สิ่งที่พวกเขาต้องการจริงๆ คือการแก้รัฐธรรมนูญเฉพาะบางมาตราที่หมดประโยชน์กับตัวเองเท่านั้น
“สิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ตัวเองได้เข้ามามีอำนาจวาสนาก็เลือกกอดมันไว้อย่างนั้น ไม่สนว่ามันจะทำลายหลักการประชาธิปไตย ทำลายเสียงของประชาชน ทำลายคุณค่าที่สังคมยึดถือไว้ไปแล้วขนาดไหน หลังจากคว่ำการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่สำเร็จ พรรคพลังประชารัฐก็เดินหน้าแผนกินรวบต่อทันทีด้วยการเสนอแก้รัฐธรรมนูญรายมาตรา คัดมาเน้นๆ ตบแต่งเพื่อหลอกให้คนอื่นเชื่อว่านี่คือทางออกว่า นี่คือการแก้วิกฤตแล้ว นี่คือการกลับสู่ระบบดีระบอบเดิมที่เราคุ้นเคย ทุกอย่างดูดีไปหมด แต่ต้องไม่ลืมว่าพรรคพลังประชารัฐไม่ใช่พรรคการเมืองทั่วไป แต่เป็น ‘แม่น้ำ’ สายหนึ่งของฝ่าย คสช. ที่ไหลบ่าเข้ามายังสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งยังมีแม่น้ำอีกหลายสาย หลายสาขา ที่ไหลมารวมกันเพื่อออกไปสู่ทะเลแห่งการสืบทอดอำนาจ และการที่แม่น้ำสายพลังประชารัฐขยับเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ ไม่ได้ขยับแค่สายเดียว แม่น้ำสายอื่นก็เตรียมขยับตามรัฐธรรมนูญที่จะถูกแก้เพื่อเข้าสู่บทใหม่ของการสืบทอดอำนาจด้วยเช่นกัน”
รังสิมันต์ ย้ำว่า การพิจารณาญัตติในการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มากถึง 13 ญัตติในหลากหลายประเด็น พรรคก้าวไกลเห็นว่าประเด็นไหนที่สำคัญที่สุด จำเป็นเร่งด่วนที่สุดและต้องแก้ให้ได้โดยเด็ดขาด มีประเด็นเดียวคือการยกเลิกอำนาจของ ส.ว. ที่จะลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 272 ซึ่งพรรคก้าวไกลได้ลงชื่อในญัตติดังกล่าวร่วมกับพรรคร่วมฝ่ายค้านอื่นๆ
“ต้องยอมรับความจริงว่า ส.ว. 250 คนชุดนี้คือกลไกการสืบทอดอำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ การที่ผู้ใดจะมีความชอบธรรมในการเลือกนายกรัฐมนตรี ผู้ที่จะเลือกนั้นจะต้องได้รับมอบอำนาจจากประชาชนด้วย ซึ่งพวกท่าน ส.ว. หามีไม่ มากไปกว่านั้น การมี ส.ว. ที่มาจากการเลือกโดย คสช. และมีอำนาจในการเลือกนายกรัฐมนตรีแบบนี้ยังเป็นอุปสรรคต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองตามที่ประชาชนปรารถนา เพราะแม้ประชาชนจะอยากเห็นนายกรัฐมนตรีเป็นคนอื่น แต่หาก ส.ว. ไม่ยอมให้ ประชาชนก็ยังต้องทนอยู่กับนายกรัฐมนตรีคนเดิม มาตรา 272 จึงเป็นการแช่แข็งประเทศไทยไม่ให้ไปข้างหน้า”
รังสิมันต์ กล่าต่อไปว่า ส.ว. ชุดนี้ได้ใช้อำนาจที่ตัวเองมีทำลายความรู้สึกและความหวังของคนรุ่นใหม่และพี่น้องประชาชนชาวไทยที่ต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงในทางการเมืองในหลายครั้ง ไม่ว่าจะโดยการอภิปรายที่ตีตราผู้ที่ออกมาเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการเมืองให้เป็นศัตรู การคว่ำร่างแก้รัฐธรรมนูญเพื่อตั้ง ส.ส.ร.ไปจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จนประชาชนนึกไม่ออกว่าแบบนี้จะมี ส.ว. เอาไว้ทำไม ทำไมถึงต้องยอมเสียเงินภาษีเดือนละกว่า 28 ล้านบาทเพื่อให้ ‘เฒ่าหลวง’ กลุ่มนี้ขึ้นมาขี่คอประชาชน อวดดีว่าตัวเองเลือกผู้นำได้เก่งกว่าประชาชน
วันนี้ข้อเสนอของสังคมกำลังไปไกลกว่าแค่ยกเลิกมาตรา 272 แล้ว อาจจะคิดไปถึงการยุบ ส.ว. และเปลี่ยนไปสู่ระบบสภาเดี่ยวก็เป็นไปได้ การยกเลิกมาตรา 272 จึงเป็นประตูแรกที่จะออกจากอำนาจเผด็จการที่กำลังปิดล้อมประชาชน หากเปิดประตูบานแรกสำเร็จ หนทางสู่การจัดตั้งรัฐบาลของประชาชนก็ไปต่อได้ แต่ก็อย่างที่คาดหมายได้ ร่างแก้รัฐธรรมนูญของพรรคพลังประชารัฐไม่มีเรื่องนี้ แต่ต้องการแก้บางมาตราให้เป็นไปตามแผนการรวบอำนาจของ คสช. เท่านั้น
“อย่างระบบเลือกตั้งที่เป็นเหยื่อล่อเพื่อเชื้อเชิญให้เปิดประตูเมืองต้อนรับม้าไม้เมืองทรอย รู้นะว่าคิดอะไรกันอยู่ จะเปลี่ยนเขตเลือกตั้ง ก็เพราะต้องการให้ กกต. ขีดเส้นแบ่งเขตใหม่ใช่ไหม กกต. ชุดนี้ ถูกเซ็ตซีโร่แล้วตั้งขึ้นมาใหม่ในยุค คสช. เมื่อปี 2561 และในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาก็ได้เห็นสารพัดผลงาน ทั้งบัตรเขย่ง ทั้งบัตรต่างประเทศส่งไม่มาทันเวลานับ ทั้งสูตรคำนวณพิสดาร ทั้งความพยายามเอาผิดพรรคการเมืองแบบเลือกข้างเลือกฝ่าย สารพัดความไม่โปร่งใสและไร้มาตรฐาน ขีดเส้นแบ่งเขตเลือกตั้งแบบพิศดารเพื่อเอื้อให้พรรคการเมืองบางพรรคได้ประโยชน์ ตัวอย่างเช่นในหลายจังหวัด มีการแบ่งเอาพื้นที่ที่แทบไม่ติดต่อกันเลย จะไปมาหาสู่กันต้องอ้อมผ่านเขตอื่นไปยัดเยียดให้มาเป็นเขตเดียวกันจนได้ ถามว่าทำแบบนี้เอื้อประโยชน์ใคร ประชาชนได้ประโยชน์อะไรจากการแบ่งเขตเลือกตั้งแบบนี้”
รังสิมันต์ ย้ำว่า เคารพในการตัดสินใจของประชาชน แต่ต้องยอมรับด้วยว่ากระบวนการบิดเบือนเสียงของประชาชนมีอยู่จริง ซึ่งได้เกิดขึ้นแล้วผ่านบรรดากลไกต่างๆ ที่สร้างกันขึ้นมาตั้งแต่ยุค คสช. หรือบางเรื่องที่เสนอเข้ามาก็เป็นแค่แก้เพื่อโกง มาตรา 185 ยกเลิกข้อห้าม ส.ส. กับ ส.ว. แทรกแซงก้าวก่ายการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐและการไปร่วมใช้จ่ายงบประมาณหรืออนุมัติโครงการต่างๆ มาตรา 144 ยกเลิกการลงโทษ ส.ส. และ ส.ว. ที่ไปแปรญัตติเพิ่มงบประมาณหรือเพิ่มรายการงบประมาณ เท่ากับต่อจากนี้จะแทรกแซงจะก้าวก่ายก็เชิญ ถ้าโดนจับได้ว่าแอบโยกงบเข้าพื้นที่หรือกลุ่มของตัวเองก็ไม่ว่า ทีหลังไปทำให้แนบเนียนขึ้น อย่างนั้นใช่หรือไม่ ไม่เอาแล้วหรือกับคำว่ารัฐธรรมนูญปราบโกงที่อวดอ้างกันนักกันหนา
เรื่องการแก้ในเรื่องสิทธิเสรีภาพมีแต่เพียงการแต่งเติมในรายละเอียดปลีกย่อย ทั้งๆที่ ‘ระบอบประยุทธ์’ ละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนมากที่สุด หากเรามีรัฐธรรมนูญที่เคารพต่อเสียงของประชาชน ยกอำนาจของประชาชนและสถาบันที่ยึดโยงกับประชาชนให้เป็นใหญ่ ปราศจากกลไกการสืบทอดอำนาจเผด็จการ สิทธิเสรีภาพในรายละเอียดปลีกย่อยเหล่านั้นย่อมได้รับการคุ้มครองอยู่แล้ว แต่หากการแก้รัฐธรรมนูญยังเป็นแบบที่พรรคพลังประชารัฐเสนอมายังแก้รายมาตราเพื่อการสืบทอดอำนาจของตัวเอง ต่อให้แก้เรื่องสิทธิเสรีภาพให้ดูสวยงามเพียงใด เมื่อประชาชนออกมาใช้สิทธิเสรีภาพ ออกมาตั้งคำถาม คัดค้าน วิพากษ์วิจารณ์ผู้มีอำนาจ สุดท้ายพวกเขาเหล่านั้นก็จะยังคงถูกข่มขู่คุกคาม ถูกกราดฟ้องสารพัดคดี ถูกปฏิเสธสิทธิในฐานะผู้บริสุทธิ์อย่างที่เคยเป็นมาอยู่ดี การแก้ในเรื่องปลีกย่อยเหล่านี้จึงไม่ต่างอะไรจากไม้ประดับที่คอยหลอกตาประชาชน บดบังไม่ให้เห็นกาฝากที่เป็นใจกลางของปัญหา คอยสูบกินการเมืองไทยต่อไปไม่รู้จบสิ้น เชื่อว่าทุกคนในสภาแห่งนี้ ต่างรู้ดีว่าที่ทำกันอยู่ในวันนี้ ที่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในหลายฉบับหลายมาตรา มันไม่ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงอะไร เป็นแค่เพียงการปรับแต่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ให้กลายพันธุ์ ให้ดูดี ดูน่าคบหา ถามจริงๆว่าจะเล่นปาหี่กันแบบนี้อีกนานไหม
“ผมและพรรคก้าวไกลขอเรียกร้องให้ทุกคนกลับมาสู่แนวทางการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ ในวันนี้ที่ร่าง พ.ร.บ.ประชามติ ได้ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาและเตรียมประกาศใช้แล้วนั้น พรรคก้าวไกลเห็นว่าหนทางหนึ่งในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่รวดเร็วและตรงไปตรงมาที่สุด คือการจัดทำประชามติเพื่อถามประชาชนกันไปเลยว่าต้องการยกเลิกรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 และจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดย ส.ส.ร. ที่ได้รับเลือกจากประชาชนหรือไม่ หากประชาชนเห็นชอบก็จะได้ไม่เหลือข้ออ้างอะไรให้ต้องมาหาเรื่องขัดขวางกันอีก รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่จะจัดทำต้องไม่ใช่การพาประเทศไทยกลับไปที่เดิม แต่ทำให้ประเทศไทยเดินไปข้างหน้า อยากให้รับรองสิทธิเสรีภาพไว้อย่างไร ตลอดจนระบบเลือกตั้งจะเอากันอย่างไร ให้ไปว่ากันในเวที ส.ส.ร.
“เลิกเสียทีกับการพยายามจำกัดเนื้อหาไม่ให้จัดทำในหมวด 1 และหมวด 2 อันเป็นการไม่เคารพต่อเจตจำนงของประชาชนผู้ทรงอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญ ประชาชนจะเขียนในเรื่องดังกล่าวหรือไม่ ก็ให้พวกเขาได้รณรงค์และหาข้อสรุปด้วยตัวเอง สำหรับญัตติแก้รัฐธรรมนูญในครั้งนี้ พรรคก้าวไกลขอเรียกร้องให้สมาชิกรัฐสภาร่วมกันเห็นชอบกับการยกเลิกมาตรา 272 ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญที่สุดเฉพาะหน้าในการทลายการสืบทอดอำนาจของพล.อ.ประยุทธ์ และหากปรากฎว่าในท้ายที่สุดญัตติยกเลิกมาตรา 272 เพื่อยกเลิกอำนาจ ส.ว. ในการเลือกนายกรัฐมนตรีถูกคว่ำลงอีกครั้ง ก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่า ละครฉากนี้ที่มีนักแสดงค่าตัวแพงทั้งหลายในห้องนี้ เป็นแค่เพียงละครปาหี่ต่อพี่น้องประชาชนเพื่อกินรวบอำนาจของประชาชนทั้งกระดานเท่านั้นเอง”
สุดท้าย รังสิมันต์ ย้ำว่า พอได้แล้วหรือไม่กับการยอมให้ทำแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ เลิกเล่นตามเกมของผู้ที่ไม่เคยศรัทธาในประชาธิปไตย แล้วหันมาเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญในแบบที่ประชาชนได้เป็นผู้กำหนด และได้รับประโยชน์สูงสุดจริงๆ หยุดทำตัวเป็นหางเครื่องค่าตัวหลักแสนให้กับละครสืบทอดอำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และฝ่ายเผด็จการ คสช. เสียที