“จาตุรนต์” ชี้รัฐบาลผิดพลาดมหันต์ ผูกขาดวัคซีน แถมช้า-ไม่ครอบคลุม รีบปรับแผนก่อนเสียหายหนัก

วันที่ 12 มีนาคม 2564 นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกรัฐมนตรี ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นหลังเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีได้ประกาศยกเลิกฉีดวัคซีนต้านโควิดของแอสตร้าเซเนก้าออกไปชั่วคราว หลังเกิดกระแสข่าวผลข้างเคียงโดยเฉพาะภาวะลิ่มเลือดอุดตันในบางประเทศแถบยุโรปไม่นานมานี้ จนเกิดกระแสคำถามถึงความเชื่อมั่นของประชาชนต่อมาว่า

ถึงวันนี้นายกฯยังไม่ฉีด แล้วเมื่อไหร่คนไทยจะได้ฉีด?

“ผูกขาดวัคซีน” ความผิดพลาดร้ายแรงที่ต้องรีบทบทวน

การที่พลเอกประยุทธ์และรัฐมนตรีอีกหลายคนต้องยกเลิกการฉีดวัคซีนในวันนี้แสดงให้เห็นปัญหาความผิดของนโยบายและแผนของรัฐบาลในการฉีดวัคซีนอย่างไม่อาจปฏิเสธแก้ตัวได้อีกต่อไป รัฐบาลต้องทบทวนนโยบายที่ผิดพลาดนี้โดยด่วนที่สุด

ตอนที่มีการฉีดวัคซีนโชว์เป็นเข็มแรก นายกฯไม่ได้ฉีดเพราะ Sinovac ไม่ใช้สำหรับผู้ที่อายุเกิน 60 ขณะนั้น วัคซีน AstraZeneca เพิ่งมาถึงไทย แต่ยังใช้ไม่ได้ ในขณะนั้นยังเป็นที่ถกเถียงกันในหลายประเทศในยุโรปว่าวัคซีน ของบริษัทนี้ควรใช้กับผู้ที่ อายุเกิน 65 ปีหรือไม่

ต่อมาบางประเทศก็เปลี่ยนท่าทีเป็นยอมรับการใช้วัคซีน AstraZeneca กับผู้ที่อายุมากได้

แต่ล่าสุดบางประเทศในยุโรปชะลอการใช้วัคซีน AstraZeneca เนื่องจากสงสัยว่าใช้แล้วอาจมีผลต่อการเกิดลิ่มเลือด บางประเทศก็ไม่เห็นด้วยและผู้เชี่ยวชาญของบริษัทก็อธิบายถึงการค้นคว้าวิจัยยืนยันว่าไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างการใช้วัคซีนกับการเกิดลิ่มเลือด แต่บางประเทศก็ยังสงสัยและต้องการดูเรื่องอย่างระมัดระวัง

นี่คงเป็นสาเหตุที่นายกฯและรัฐมนตรีหลายๆคนยกเลิกการฉีดวัคซีนในวันนี้

จะเห็นได้ว่ามีความไม่แน่นอนในการใช้วัคซีนจากบริษัทต่างๆได้ในลักษณะต่างๆกัน ปัญหาของประเทศไทยจึงอยู่ที่การไปผูกขาดการใช้วัคซีนไว้กับบริษัทเดียว (จะใช้ของ Sinovac บ้างเล็กน้อยก็เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า) ความเสี่ยงจึงสูงมาก

นโยบายใช้วัคซีนแบบผูกขาดรายเดียวแบบนี้จึงเป็นนโยบายที่ผิดพลาดอย่างร้ายแรง นอกจากนี้ที่ผิดพลาดไม่น้อยกว่ากันก็คือการฉีดวัคซีนช้าและไม่ครอบคลุมประชากรให้มากพอ

หากไม่ทบทวนเปลี่ยนนโยบายและแผนเสียใหม่ จะเป็นความเดือดร้อนเสียหายมหาศาลสำหรับประชาชนทั้งประเทศ ความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดรอบที่สามจะยังมีอยู่และการฟื้นเศรษฐกิจจะล่าช้าไปอีกเป็นปีๆ