ย้อนแย้งไปไหน? “จาตุรนต์” กังขารัฐบาลขวางนำเข้าวัคซีนผ่านรับรองแล้ว แต่กลับหนุนวัคซีนพาสปอร์ต

วันที่ 10 มีนาคม 2564 นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกรัฐมนตรี ได้ออกมาแสดงความคิดเห็น

พลเอกประยุทธ์บอกว่า “เรื่องการนำเข้าวัคซีนของบริษัทเอกชนนั้นรัฐบาลไม่ได้กีดกันใครและไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้ใคร แต่ต้องมีการตรวจสอบเสียก่อน จะปล่อยให้นำเข้าเสรีไม่ได้” ฟังดูก็เหมือนไม่น่ามีปัญหาอะไร

แต่ความจริงแล้วมีบริษัทเอกชนหลายบริษัทที่ต้องการจะนำวัคซีนที่ได้รับการรับรองจากต่างประเทศแล้วเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยมานานแล้ว โรงพยาบาลหลายแห่งก็พร้อมจะนำเข้าหรือซื้อจากบริษัทต่างประเทศที่จะนำวัคซีนเข้ามา แต่การนำเข้าก็ไม่เกิดขึ้นเพราะหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบของไทยไม่มีกระบวนการรองรับ ไม่มีความชัดเจน ทำงานอย่างล่าช้าอย่างไม่มีเหตุผลจนเป็นที่เข้าใจว่ารัฐบาลไม่ต้องการให้มีการนำเข้า

พูดอีกแบบคือรัฐบาลต้องการให้ชะลอการนำเข้าไว้ให้นานที่สุด

จะว่าไปหน่วยงานที่มีหน้าที่ตรวจสอบรับรองวัคซีนจากบริษัทต่าง ๆ ก็ยังไม่มีขีดความสามารถสูงพอที่จะตรวจรับรอง ประเทศต่าง ๆ ที่ประสบปัญหานี้อาศัยการร่วมมือกับรัฐบาลประเทศที่พัฒนาแล้ว หรือที่ทำกันมากคืออาศัย WHO ช่วยตรวจสอบรับรองให้ ซึ่งสามารถตรวจรับรองได้เร็วทันเหตุการณ์

แต่รัฐบาลไทยก็เลือกที่จะไม่ใช้วิธีเหล่านี้

ปล่อยให้บริษัทเอกชนและโรงพยาบาลต่างๆรอกันไป ทั้งๆที่มีทั้งคนไทยและชาวต่างประเทศในเมืองไทยจำนวนมากที่ต้องการจะรีบฉีดวัคซีน

ไม่รู้ว่าจะต้องรอกันไปอีกกี่เดือนหรือกี่ปี

ขณะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขก็บอกว่าจะผลักดันเรื่องวัคซีนพาสปอร์ต โดยจะลดเวลาการกักตัวชาวต่างประเทศที่มีวัคซีนพาสปอร์ตลงเหลือ 7 วัน

คงต้องถามว่านี่ไม่ย้อนแย้งกับการไม่ยอมให้เอกชนนำเข้าวัคซีนหรอกหรือ ?

“ในเมื่อรัฐบาลไทยยังไม่รับรองวัคซีนของบริษัทใดนอกจาก Sinovac กับ AstraZeneca แล้วจะรับรองวัคซีนพาสปอร์ตจากประเทศต่าง ๆ ที่มีการฉีดวัคซีนที่ผลิตโดยบริษัทมากมายก่ายกอง ที่รัฐบาลไทยยังไม่ตรวจสอบและรับรองได้อย่างไร”

ถ้ารับรองวัคซีนพาสปอร์ตได้ ทำไมจึงไม่รับรองวัคซีนที่รัฐบาลประเทศที่พัฒนาแล้วเขารับรองแล้ว

เรื่องทั้งหมดจะไม่มีปัญหาถ้ารัฐบาลไม่ผูกขาดการนำเข้าวัคซีนอยู่กับบริษัทเดียวหรือสองบริษัท แต่รับการติดต่อจากบริษัทต่าง ๆ ให้กว้างขวาง ประสานขอความร่วมมือช่วยเหลือจาก WHO และประเทศที่พัฒนาแล้วในการตรวจรับรองวัคซีนจากบริษัทต่าง ๆ อย่างหลากหลาย

ป่านนี้รัฐบาลก็คงมีวัคซีนอยู่ในมือจำนวนมากและคงฉีดให้ประชาชนนับล้านคนไปแล้ว และคงจะสามารถครอบคลุมประชากรส่วนใหญ่ได้อย่างรวดเร็วกว่าที่เป็นอยู่อีกมาก

เรื่องวัคซีนยังมีปัญหาอีกหลายแง่มุมครับ รัฐบาลจงใจหน่วงเหนี่ยวการนำเข้าวัคซีนและส่งเสริมให้มีการผูกขาดโดยไม่กี่บริษัท หากรัฐบาลยอมให้เอกชนนำเข้าก็จะมีปัญหาว่าเอื้อประโยชน์บางบริษัทหรือเลือกปฏิบัติหรือไม่ หากให้เอกชนนำเข้ามาขายแก่โรงพยาบาลเอกชน แล้วใครจะฉีดก็ไปจ่ายสตางค์กันเอาเอง ก็จะมีปัญหาตามมาอีกว่าแล้วเมื่อไหร่คนจน ๆ จะได้ฉีดวัคซีนกับเขาบ้าง

ปัญหาเหล่านี้มีทางแก้ครับ เพียงแต่ว่ารัฐบาลต้องการจะแก้ปัญหาหรือไม่ หรือรัฐบาลจงใจให้เกิดปัญหาเพื่อผลประโยชน์อะไรบางอย่างเสียเอง

ที่ทำกันอยู่ เหมือนกับรัฐบาลไม่เข้าใจว่าการฉีดวัคซีนครอบคลุมน้อยมากและช้ามากนี้ กำลังทำให้ประเทศไทยเสียโอกาสในการฟื้นฟูเศรษฐกิจไปมหาศาล

เรื่องวัคซีนยังต้องคุยกันต่อครับ