วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2564 บีบีซี และ เดลีเมล์ รายงานว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐอเมริกา แถลงขู่ว่าจะกลับมาบังคับใช้ มาตรการคว่ำบาตร พม่าอีกครั้ง หลังเหตุกองทัพพม่าบุกจับตัว นางออง ซาน ซู จี ที่ปรึกษาแห่งรัฐ พร้อมด้วย ประธานาธิบดีวิน มินต์ ผู้นำพม่า และแกนนำพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (เอ็นแอลดี) พรรครัฐบาล ก่อนประกาศใช้สถานการณ์ฉุกเฉินเป็นเวลา 1 ปี เมื่อวันจันทร์ที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมา

แถลงการณ์ของประธานาธิบดีไบเดนระบุถึงพม่าหรือเมียนมาด้วยชื่อเดิมคือ “เบอร์มา” (Burma) ชื่อในยุคที่อังกฤษปกครองพม่าเป็นอาณานิคม ก่อนจะเปลี่ยนชื่อและสหรัฐก็เปลี่ยนมาเรียกว่าเมียนมาร์ด้วยเหตุผลด้านมารยาททางการทูตเช่นกัน การใช้คำว่าเบอร์มาของนายไบเดนจึงเป็นการแสดงจุดยืนดูแคลนและไม่ยอมรับการยึดอำนาจของกองทัพพม่า (คำว่า “เมียนมาร์” ถูกใช้เป็นชื่อทางการโดยรัฐบาลทหารตั้งแต่ปี 1989 หลังการปรามปรามประชาชนในปี 1988)

ข้อความบางส่วนในแถลงการณ์ระบุว่า การยึดอำนาจของกองทัพพม่า การกักขังนางซู จี และรัฐบาลพลเรือน การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ถือเป็นการทำร้ายการส่งต่ออำนาจทางประชาธิปไตยและหลักนิติธรรมโดยตรง

ในระบอบประชาธิปไตย กองกำลังไม่ควรหาทางลบล้างความต้องการของประชาชนหรือพยายามลบล้างผลการเลือกตั้งที่ถูกต้อง เกือบทศวรรษที่ประชาชนชาวพม่าทำงานอย่างหนักเพื่อให้มีการเลือกตั้ง รัฐบาลพลเรือน และการส่งต่ออำนาจที่สงบสันติ กระบวนการดังกล่าวควรได้รับความเคารพ

นายไบเดนยังกล่าวเรียกร้องให้นานาชาติร่วมส่งเสียงเป็นหนึ่งเดียวเพื่อกดดันให้กองทัพพม่าสละอำนาจที่ยึดมา รวมทั้งปล่อยตัวเจ้าหน้าที่และนักเคลื่อนไวที่ถูกจับกุมคุมขัง ยกเลิกการควบคุมระบบสื่อสาร และหยุดใช้ความรุนแรงต่อประชาชน

สหรัฐจะทำงานร่วมกับพันธมิตรในภูมิภาคและโลกเพื่อช่วยเหลือส่งเสริมการฟื้นคืนประชาธิปไตยและหลักนิติธรรม เช่นเดียวกับดำเนินการผู้ที่ต้องรับผิดชอบต่อการล่มกระบวนการเปลี่ยนถ่ายอำนาจประชาธิปไตยของพม่า

สหรัฐได้ยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรพม่าในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาเพราะพม่ามุ่งเดินไปในเส้นทางของประชาธิปไตย การย้อนกลับของกระบวนการในครั้งนี้ทำให้สหรัฐจำเป็นต้องทบทวนกฎหมายคว่ำบาตรและการดำเนินการที่เหมาะสม จากนั้นลงท้ายแถลงการณ์ด้วยข้อความย้ำว่าสหรัฐจะยืนหยัดเพื่อประชาธิปไตยไม่ว่าที่ใดก็ตามที่ตกอยู่ภายใต้การโจมตี