เสียงจากนักศึกษาร้อยเอ็ด ถูกตำรวจคุกคามถึงบ้าน สั่งห้ามไปชุมนุมในกรุงเทพฯ

เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม นางสาวณัฏฐา มหัทธนา หรือโบว์ อดีตแกนนำคนอยากเลือกตั้ง โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กโดยระบุว่า เป็นข้อมูลจากนักศึกษาคนหนึ่งในจังหวัดร้อยเอ็ด เนื้อหากล่าวถึงเหตุการณ์ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางไปที่บ้านเพื่อพูดคุยกับครอบครัวหลังเข้าเป็นแนวร่วมกิจกรรมชุมนุม

รายละเอียดดังนี้

ห่วงใยหรือคุกคาม ตักเตือน หรือ ปราบปราม ขอพื้นที่ส่งเสียง

เรื่องเพิ่งเกิดขึ้นกับเราเอง เราเป็นเด็กต่างจังหวัดบ้านไม่ได้ร่ำรวย ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอาชีพข้าราชการ ปัจจุบันมาเรียนที่มหาลัยใกล้บ้านแห่งหนึ่งทางภาคอีสาน

เรื่องราวที่เล่านี้เคยเกิดขึ้นกับเพื่อนสนิทเรามาก่อนจนมาวันนี้เกิดกับตัวเราเองและครอบครัว

เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2563 เป็นช่วงบ่ายสามหลังเลิกเรียนซึ่งเพิ่งเรียนเสร็จและกำลังส่งของที่ไปรษณีย์สักพักมีข้อความและการโทรเข้าจากผู้ใหญ่ทางบ้านอย่างกะทันหันแจ้งว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังมาหาที่บ้าน ให้รีบโทรบอกพ่อกับแม่ทันทีพร้อมเสียงเตือนด้วยความเป็นห่วงพร้อมความกังวลกลัวเราไม่มีอนาคต อนาคตเธอยังอีกยาวไกล !

เราก็สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งแกเองก็บอกไม่ได้มันเป็นความลับ!

เราเองตกอยู่ในสภาวะงงชั่วขณะและสงสัยว่าเราทำอะไรผิด ทั้งที่ก็มาเรียนตามปกติ ไม่เคยทำผิดหรือละเมิดกฎหมาย คิดอยู่แค่ว่าหรือเป็นเพราะแชร์บทความทางการเมืองซึ่งใครเขาก็แชร์กันนะเหรอ ร้องเพลงปฏิวัติซึ่งมันก็แค่เพลงนะเหรอ ช่วยชี้แจงเราก่อนจะบุกไปถึงบ้านสิ!

ครอบครัวกลัวแน่ๆ และต้องโทรคุยกับเราในไม่ช้าแน่ๆ เพราะด้วยความเล่นใหญ่ใส่เต็มของท่านๆ

เมื่อตำรวจมาและกลับไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วเราได้คุยกับที่บ้าน ทั้ง ยาย(น้องของยาย) ครู แม่ พ่อบนดาดฟ้าของตึกคณะ ถึงการมาของเจ้าหน้าที่ตำรวจพอจับประเด็นได้ว่าเป็นคำสั่งมาจากภาค 4 (เราเองก็ไม่รู้ว่าคือคำสั่งจากที่ไหน) ส่งคนมาและมีตำรวจที่บ้านพามา

1. ขอสั่งห้ามอย่าให้เราลงม็อบที่ กทม. (ซึ่งเราเองไม่ไปแน่นอนเนื่องจากมันไกลและต้องออกค่าใช้จ่ายเอง แถมยังติดเรียนด้วย)

2. ถูกกล่าวหาว่าเป็นแกนนำ ของจังหวัดหนึ่งในภาคอีสานและพ่วงไปจังหวัดใกล้เคียง
คือ โดยส่วนตัวแล้วยังใหม่มากสำหรับเรื่องนี้ ไม่เคยเป็นผู้จัดงาน เป็นเพียงแนวร่วมในกิจกรรม ซึ่งไม่ใช่ดาวเด่นอะไรเลย (แต่ขอบคุณค่ะเพิ่งรู้ว่าอยู่เงียบๆ ก็ดังตั้ง 2 จังหวัด)

3. ห้ามพาคนไปม็อบ ในที่นี้คงอาจจะหมายถึงการแชร์เชิญชวนในเฟซของเพจของนักจัดกิจกรรม หรือ คุยกับเพื่อน จะบอกว่าเขาจะไปหรือไม่ไปมันเป็นสิทธิเสรีภาพของตัวบุคคลใครสนใจรักและอยากเห็นประเทศพัฒนาก็ไป คิดง่ายๆ ก็ไปเจอเพื่อนใหม่

ซึ่งเรื่องพวกนี้มันบังคับกันไม่ได้ ทั้งความเชื่อ และการปฏิบัติ **การออกคำสั่งมันไม่ได้มันไม่ใช่เรื่องมันขัดต่ออุดมการณ์

4. ห้ามไปร้องเพลงที่ม็อบที่จัดขึ้นในเดือนสิงหาคมนี้เอง และห้ามร่วมชุมนุมม็อบทุกที่ในประเทศนี้ (คำขอจากแม่และแม่โดนบีบมาอีกที) ซึ่งเราแค่ไปร้องเพลง ย้ำว่าแค่ไปร้องเพลงมันหัวรุนแรงตรงไหน มันใช้ความรุนแรงตรงไหน! ไร้ซึ่งอาวุธ แบกกีต้าร์ไปกับเพื่อน กีต้าร์สามารถทุบหัวใครตายได้ไหมก็ไม่ ร้องเพลง 4 เพลงคนไม่ตีกันตายหรอก เพราะเพลงเนื้อหาดีมั่นใจว่าหลายๆ เคยฟังกันทั้งนั้น

5. ยายสั่งเราหุบปาก !

6. ครอบครัวโดนบันทึกภาพเป็นรายบุคคลและภาพบ้านด้วย (ความปลอดภัยบนประเทศนี้อยู่ที่ไหน) เน้นเลี้ยงคนให้โง่ เพราะควบคุมง่ายฝึกง่าย คิดต่างไม่ได้หาว่าสร้างความแตกแยกให้ประเทศ!

เราจำเหตุการณ์วันที่คุยกับแม่บนดาดฟ้าของตึกคณะได้ดี ผู้คนใช้ชีวิตตนเองอย่างปกติสุขแต่กลับมีบางคนที่ ไม่สุข เพราะอยู่ไม่เป็น !

คงหยุดส่งเสียงเรียกร้องต่อประเทศนี้ไม่ได้เพราะเราทำบนพื้นที่ของเราอย่างขาวสะอาดและถูกต้องคิดแล้วคิดอีกก่อนทำเสมอ

แม้มันทำให้ตัวเราและครอบครัวกลับโดนคุกคามทุกขณะ แต่หากเราหยุดตอนนี้เราคงไม่ต่างจากไอ้ขี้แพ้ที่เคยเป็นเสมอมาและค่อยๆ ตายลงไปตามเวลา หากเดินหน้าต่อเราเองก็ไม่รู้ว่าเราและครอบครัวจะต้องเจออะไรเช่นกัน (เคยคิดภาพว่าถ้าโดนจะเลือกตายแบบไหนถ้าเลือกได้ไหม?)

การหากินบนความกลัวกับคนรากหญ้านั้นแสนง่ายดาย นั้นคงเป็นสาเหตุที่ครอบครัวเราโดนเลือก

หลังจากบทความนี้ถูกเผยแพร่ออกไปแล้วเราเองไม่รู้ว่าจะโดนคุกคามอีกรอบสองไหมจะรุนแรงกว่าเดิมแค่ไหนไม่อาจคาดเดาได้ถูก

นี้คงเป็นหลังฐานเพียงชิ้นเดียวที่เรียกร้องหาความยุติธรรมให้กับเราและครอบครัวได้