หมอมนูญ โพสต์ถึงเวลา ‘องค์การอนามัยโลก’ ต้องปฏิรูป ปมแอคชั่น ‘โควิด’ ล่าช้า-ไม่ถูกต้อง

หมอมนูญ โพสต์ถึงเวลา ‘องค์การอนามัยโลก’ ต้องปฏิรูป ปมแอคชั่น ‘โควิด’ ล่าช้า-ไม่ถูกต้อง

เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน เพจเฟซบุ๊ก หมอมนูญ ลีเชวงวงศ์ FC ซึ่งเป็นเพจของ นายแพทย์มนูญ ลีเชวงวงศ์ หัวหน้าห้องไอซียู เฉพาะทางด้านโรคระบบการหายใจ ผู้ป่วยหนัก และโรคผู้สูงอายุ ประจำที่โรงพยาบาลวิชัยยุทธ โพสต์ว่า องค์การอนามัยโลกกลับลำแนะทั่วโลกใส่หน้ากากอนามัยในที่สาธารณะ จากเดิมที่เคยบอกว่าไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจนมากพอว่าหน้ากากอนามัยช่วยป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รวมถึงคนไม่ป่วย ไม่ต้องสวมหน้ากากอนามัย มาเป็นทุกคนควรใส่หน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าเวลาออกไปในที่สาธารณะ

คำประกาศใหม่ถือว่าล่าช้าเกินไป เนื่องจากในหลายประเทศทั่วโลกรวมทั้งไทย ได้มีการแนะนำให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งเมื่อต้องออกจากบ้านก่อนหน้านี้แล้ว

ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่องค์การอนามัยโลกออกแถลงการณ์ล่าช้า WHO เพิ่งเตือนถึงผลเสียของการฉีดพ่นน้ำยาเคมีกำจัดเชื้อโรคพื้นที่กว้างใหญ่นอกอาคาร บนทางเดิน ถนน เพื่อลดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เป็นการทำลายสิ่งแวดล้อม และมีอันตรายต่อผู้สัมผัส สิ้นเปลืองไม่ได้ประโยชน์ ทางกระทรวงสาธารณสุข และสมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทยได้ออกมาเตือนเรื่องนี้ก่อนหน้าองค์การอนามัยโลกแล้ว

ย้อนหลังไปค.ศ.1997 องค์การอนามัยโลกออกแถลงการณ์การตรวจหาความไวต่อยาของเชื้อวัณโรคในประเทศที่กำลังพัฒนา ทำไม่ได้ สิ้นเปลือง และเปล่าประโยชน์ ผมออกมาโต้แย้งในปีค.ศ.1998 ว่าประเทศไทยจำเป็นต้องตรวจ เพราะถ้าไม่ทราบผลความไวต่อยา อาจให้ยารักษาไม่ตรงกับเชื้อ ทำให้เชื้อยิ่งดื้อยามากขึ้น แพร่ระบาดให้คนอื่นต่อไป ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทยขณะนั้นตอบว่าการแนะนำของผมขาดความรับผิดชอบ เพราะต้องดึงเงินจากงบประมาณอื่นมาใช้

ผมได้ก่อตั้งทุนวิจัยวัณโรคดื้อยาในพระอุปถัมภ์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ศิริราชมูลนิธิ ในปีค.ศ.2001 ทำการตรวจหาความไวต่อยาของเชื้อวัณโรคให้รพ.ของรัฐฟรีทุกแห่ง ในที่สุดองค์การอนามัยโลกก็เปลี่ยนคำแนะนำใหม่ ให้ทุกประเทศตรวจหาความไวของเชื้อวัณโรคต่อยาก่อนเริ่มการรักษา แต่คำแนะนำนี้ล่าช้าเกินไป หนังสือพิมพ์ Wall Street Journal ได้วิจารณ์ความผิดพลาดในการทำงานขององค์การอนามัยโลกเรื่องวัณโรคในปีค.ศ. 2012 (ดูรูป)

ในอดีตองค์การอนามัยโลกให้คำแนะนำความปลอดภัยทางถนนเน้นสาเหตุเฉพาะ เมา เร็ว เคารพกฎจราจร ใส่หมวกกันน็อก คาดเข็มขัดนิรภัย ที่นั่งสำหรับเด็ก ผมออกมารณรงค์ง่วงอย่าขับ หลังจากดูแลคุณบิ๊ก ดีทูบี ซึ่งประสบอุบัติเหตุจากง่วงหลับใน ปีค.ศ.2003 ผมได้ก่อตั้งทุนง่วงอย่าขับในพระอุปถัมภ์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ มูลนิธิรามาธิบดีปีค.ศ.2005 ได้ทำการศึกษาอุบัติการง่วงหลับในของคนขับรถโดยสารและรถบรรทุก ตีพิมพ์ในปีค.ศ.2006 (ดูรูป) รณรงค์ให้คนไทยตระหนักถึงอันตรายจากง่วงแล้วขับ วิธีการแก้ไข ความสำคัญของการนอนหลับให้เพียงพอ และประโยชน์ของการงีบหลับ องค์การอนามัยโลกแถลงการณ์เพิ่ม ง่วงหลับใน ยาบางชนิดทำให้ง่วง การใช้โทรศัพท์มือถือ เป็นสาเหตุของอุบัติเหตุทางถนนในปีค.ศ.2015 นี่คืออีกหนึ่งความล่าช้าขององค์การอนามัยโลก

ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ประกาศจะถอนประเทศสหรัฐอเมริกาออกจากองค์การอนามัยโลก และงดเงินสนับสนุน เนื่องจากองค์การอนามัยโลก”ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง”ในการบริหารจัดการวิกฤตโรคระบาดโควิด-19 และเป็นองค์กรที่อยู่”ใต้เงาจีน”

ถึงเวลาแล้วองค์การอนามัยโลกต้องมีการปฏิรูป ปรับปรุง รับฟังความเห็นต่าง เพื่อให้คำแนะนำในการทำงานช่วยเหลือมนุษยชาติได้ถูกต้อง และรวดเร็วขึ้น


พิเศษ! สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์, ศิลปวัฒนธรรม และเทคโนโลยีชาวบ้าน ลดราคาทันที 40% ตั้งแต่วันนี้ – 30 มิ.ย.63 เท่านั้น! คลิกดูรายละเอียดที่นี่