‘หมอเอก’ สวน ศบค. ยกสถิติเตือน พิษเศรษฐกิจทำ ‘ฆ่าตัวตาย’ เท่าโควิด ย้ำ ไม่อาจประกาศชัยชนะได้หากคนในประเทศอดตายกันหมด

หมอเอก ก้าวไกล สวน ศบค. ยกสถิติเตือน พิษเศรษฐกิจทำ ‘ฆ่าตัวตาย’ เท่าโควิด ย้ำ ไม่อาจประกาศชัยชนะได้หากคนในประเทศอดตายกันหมด

นายแพทย์ เอกภพ เพียรพิเศษ ส.ส.พรรคก้าวไกล และอดีตแพทย์ประจำทีมฟุตบอลทีมชาติไทย เตือนรัฐบาล อย่ารายงานเกี่ยวกับสถานการณ์วิกฤติไวรัส โควิด 19 โดยเน้นที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อเพียงมิติด้านตัวเลขอย่างเดียว แต่ควรต้องรายงานในแง่ของความยากลำบากของประชาชนด้วย

โดยนายแพทย์เอกภพ ได้อ้างข้อมูลล่าสุดจาก สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ที่ติดตามจำนวนผู้เสียชีวิตจากไวรัสโควิด19 และจำนวนผู้ที่ฆ่าตัวตายเนืองจากได้รับผลกระทบจากมาตรการรัฐตั้งแต่วันที่ 1- 21 เม.ย. พบว่า มีจำนวนการตายสะสมเท่ากันที่ 38 ราย จากเส้นกราฟจะเห็นว่าอาจเป็นจุดตัดที่เส้นการตายจากโควิด 19 กำลังอยู่ในทิศทางขาลงสวนทางกับเส้นจำนวนผู้ฆ่าตัวตายเพราะพิษเศรษฐกิจที่เป็นขาขึ้น

ทั้งนี้ นายแพทย์เอกภพ ระบุอีกว่า ส่วนใหญ่ของผู้ที่ฆ่าตัวตายอยู่ในวัยที่เป็นเสาหลักทำงานหาเลี้ยงครอบครัว เมื่อประสบกับการตกงานหรือขาดรายได้แบบเฉียบพลัน จึงทำให้เกิดแรงกดดันมหาศาลจนทำให้ตัดสินใจฆ่าตัวตาย จากข้อมูลชุดนี้ น่าจะพอที่จะนำมาพิจารณาให้กลับมามีกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมได้บ้างแล้วก่อนที่จะเจอภาวะคนฆ่าตัวตายมากกว่าคนติดเชื้อโควิด และอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญนอกเหนือจากการเปิดให้มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากขึ้นก็คือ การพักหนี้ภาคครัวเรือนและพักหนี้สำหรับกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กแบบหยุดทั้งต้นทั้งดอก เพื่อเป็นการต่อลมหายใจของคนที่ลำบากเหล่านั้น
“เราคงไม่สามารถประกาศชัยชนะต่อไวรัสได้ถ้าหากคนในประเทศต้องอดตายกันหมด” นายแพทย์ เอกภพ ย้ำ

โดยก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 22 เม.ย. นายแพทย์เอกภพ ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ้คด้วยท่าทีเดียวกันว่า
ไม่อยากให้การรายงานเกี่ยวกับผู้ติดเชื้อเป็นการรายงานเพียงมิติด้านตัวเลข แต่ควรต้องรายงานในแง่ของความยากลำบากของประชาชนด้วย เพราะเป็นภาพที่คาดไม่ถึงเลยว่า ประเทศไทยจะต้องมีการต่อแถวรับแจกอาหารกันทุก แถมที่ตลกร้ายกว่านั้นคือมีการจับกุมคนที่เอาข้าวมาแจกให้กับคนอื่น

ทั้งนี้ เขายังได้เสนอให้มีการทบทวนเกี่ยวมาตรการปิดเมือง โดยได้ยกตัวอย่างข้อมูลทางระบาดวิทยาของจังหวัดเชียงราย ซึ่งมีการเตรียมเตียงสำหรับรองรับผู้ป่วยไว้ประมาณ 400 เตียง ที่โรงพยาบาลศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง แต่มากกว่านั้นคือ เชียงรายยังสามารถรับมือเพื่อลดการกระจายเชื้อได้อีกในกลุ่มผู้ติดเชื้อที่มีอาการเล็กน้อยประมาณ 1600 คน หากเทียบกับจำนวนห้องพักของโรงแรมในจังหวัดเชียงรายที่เวลานี้มีการปิดกิจการชั่วคราว

จากสถานการณ์ล่าสุด มีข้อมูลเปิดบ่งชี้ว่า จังหวัดเชียงรายสามารถตรวจหาเชื้อไวรัสได้วันละ 150 – 200 ตัวอย่าง ซึ่งหมายความว่า ต่อให้เชียงรายมีคนไข้เพิ่มจำนวนวันละมากกว่า 100 ราย ระบบสาธารณสุขของเชียงรายก็ยังรับมือไหว ดังนั้น จึงเป็นเวลาที่ต้องเปิดให้มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมได้เสียที
“เชื่อว่าประชาชนรู้วิธีการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันโรคและมีระบบเฝ้าระวังในชุมชนที่เข้มแข็ง โดย อสม. เป็นคนทำงานในพื้นที่ประสานกับ รพ.สต. และโรงพยาบาล จะยังทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อไม่ได้พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจนระบบรับไม่ไหวเหมือนที่เกิดกับหลายประเทศ ที่ผ่านมาประชาชนยอมลำบากเพื่อช่วยแบกภาระในการป้องกันการติดเชื้อ เพื่อให้ระบบสาธารณสุขและโรงพยาบาลรองรับไหว และมีเวลาปรับตัวเพื่อรับมือกับคนไข้ที่จะมีมากขึ้น”

นายแพทย์เอกภพ ยังได้ตั้งคำถามอีกว่า เวลา 1 เดือนที่ผ่านมา รัฐได้ทำอะไรไปแล้วบ้าง เพราะหากทำแล้วระบบสาธารณสุขควรจะมีความพร้อมอย่างเต็มที่ในการรับมือกับจำนวนคนติดเชื้อแม้จะเปิดให้มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจก็ตาม