ส.ส.อนาคตใหม่ ซัด ธรรมนัสโกหกกลางสภา งัดคำพิพากษาศาลออสซี่ แฉยิบ เคยติดคุกคดีค้ายา

ส.ส.อนาคตใหม่ งัดคำพิพากษาศาลออสซี ชี้ ร.อ.ธรรมนัสโกหกกลางสภา เคยคิดคุกคดีค้ายา มีคุณสมบัติต้องห้ามเป็นส.ส.ตามรธน. 60

วันนี้ (27 ก.พ.) กลางดึกในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่ออภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่า การกระทรวงกลาโหม โดยนายธีรัจชัย พันธุมาศ ส.ส.บัญชีรายชื่อ อดีตพรรคอนาคตใหม่ ลุกขึ้นอภิปราย พล.อ.ประยุทธ์ เนื่องจากไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ ละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยการแต่งตั้งร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และขออภิปรายไม่ไว้วางใจร.อ.ธรรมนัส เนื่องจากขาดคุณสมบัติ ไร้จริยธรรม และมีลักษณะต้องห้ามโดยมิชอบตามรัฐธรรมนูญ โกหกปกปิดความจริงในการสมัครเป็นส.ส.และเข้าสู่ตำแหน่งรัฐมนตรี ทั้งยังชี้แจงข้อความเป็นอันเท็จในสภาผู้แทนราษฎรเพื่อบิดเบือนข้อเท็จจริงทางกฏหมายเพื่อรักษาตำแหน่งทางการเมือง โดยเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจระดับโลก เพราะเคยต้องคำพิพากษานำเข้า และเป็นผู้ค้ายาเสพติด ซึ่งเป็นคุณสมบัติต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญในการสมัคร ส.ส.และเป็นรัฐมนตรี

นายธีรัจชัย กล่าวต่อว่า คดียาเสพติดเป็นคดีอาชญากรรมร้ายแรงที่ทั่วโลกไม่สามารถให้อภัยได้ การนำมาบุคคลที่มีคุณสมบัติต้องห้ามมาเป็นรัฐมนตรี มีอำนาจในการบริหารประเทศ จึงเป็นที่น่าอับอายและน่ารังเกียจของทั่วโลกประเทศไทยเคยมีเหตุการณ์เข้าสู่ตำแหน่งนายกฯ หลังการเลือกตั้งปี 2535 ที่หัวหน้าพรรคสามัคคีธรรมไม่สามารถเข้าสู่ตำแหน่งนายกฯได้ ทั้งๆที่เป็นเสียงข้างมากในสภา เพราะมีเสียงทวงติงว่า เป็นผู้ที่ติดแบ็กลิสต์ ไม่สามารถเข้าประเทศสหรัฐอเมริกาได้ เนื่องจากต้องสงสัยเกี่ยวพันยาเสพติด แต่สำหรับร.อ.ธรรมนัส ยิ่งกว่ากรณีนั้นเยอะ เพราะร.อ.ธรรมนัสเคยถูกศาลประเทศออสเตรเลียตัดสินว่า มีความผิดฐานนำเข้าและค้ายาเสพติด ศาลตัดสินจำคุก 6 ปีแต่จำคุก 4 ปี ก่อนถูกเนรเทศกลับประเทศไทย ซึ่งตั้งแต่ร.อ.ธรรมนัสเข้าดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีการวิพากษ์วิจารณ์ทั้งจากสื่อทั้งไทยและประเทศออสเตรเลีย แต่ร.อ.ธรรมนัสได้ปฏิเสธมาโดยตลอด แต่วันนี้ตนจะเล่าโดยยกหลักฐานใหม่ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนเพื่อชี้ว่า ร.อ.ธรรมนัสมีคุณสมบัติต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ

“ที่ผ่านมา ร.อ.ธรรมนัส ปฏิเสธกรณีนี้กลางสภา ทั้งไม่เคยรับสารภาพว่า เคยขนยาและนำเข้ายาเสพติด และไม่เคยเข้าสู่กระบวนการใดๆเลย แต่ถูกกักขังบริเวณ โดยไปทำงานในฟาร์ม และไม่ได้ถูกศาลพิพากษาให้ถูกจำคุก 6 ปี แต่ติดจริง 4 ปี ก่อนถูกเนรเทศกลับประเทศไทย อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นเรื่องนี้ได้ถูกตรวจสอบโดยคณะกมธ.ป้องกันและปราบปรามประพฤติมิชอบ โดยร.อ.ธรรมนัส ชี้แจงเป็นหนังสือต่อพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ประธานกมธ.ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2562 ว่า ท้ายสุดเมื่อเดือนมีนาคม 2537 ศาลแขวงรัฐนิวเซ้าท์เวลล์ได้พิพากษาจำคุกตนเอง 6 ปี แต่ต่อมาในเดือนมีนาคม 2538 ได้อุทธรณ์จนลดโทษลง 4 ปี จะสังเกตุได้ว่า จากที่ปฏิเสธว่า ไม่เคยถูกจำคุก แต่การชี้แจงต่อกมธ.ป.ป.ช. ท่านยอมรับแล้วว่า ถูกลงโทษ 6 ปี อีกทั้งในชี้แจงในส่วนการลงโทษ ตนเองได้ถูกคุมขัง 8 เดือน จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นกักกันไปทำงานในฟาร์ม จนได้รับอิสรภาพ เมื่อเดือนเมษายน 2540 ดังนั้น เมื่อเอานำเวลาได้รับอิสรภาพย้อนไปเทียบกับวันถูกจับกุม คือ 15 เมษายน 2536 ซึ่งสิ่งที่ร.อ.ธรรมนัสชี้แจงมันเท่ากับ 4 ปีพอดีที่ตรงกับสื่อออสเตรเลียนำเสนอ ตรงมากกว่าที่เคยให้การในสภา แสดงว่าท่านโกหก ทำตัวเหมือนพินอกคิโอในสภาเป็นการจำนนด้วยหลักฐานและคำพูดของท่านเอง” นายธีรัจชัย กล่าว

นายธีรัจชัย กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ตนเป็นประธานอนุกรรมการคณะที่ 2 ของกมธ.ป.ป.ช. ได้รับการมอบหมายให้ศึหษาการเข้าสู่ตำแหน่งของร.อ.ธรรมนัสในคดียาเสพติด โดยได้ติดต่อไปยังศาลอุทธรณ์รัฐนิวเซ้าท์เวลล์ ประเทศออสเตรเลียแม้จะไม่ได้รับความร่วมมือจากกระทรวงการต่างประเทศ แต่กมธ.ก็ได้พยายามติดต่อตรงไปยังศาลอุทธรณ์รัฐนิวเซ้าท์เวลล์ เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2562 ได้รับการตอบรับ และได้ส่งคำพิพากษาเลขที่ 6044/94 และ 6034/94 ฉบับสมบูรณ์โดยไม่ใช่ฉบับคัดลอกมาให้โดยตรง และได้มีการแปลโดยผู้ที่มีใบอนุญาติตามกฏหมายแล้ว ซึ่งเป็นข้อมูลใหม่ที่ยังไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน และได้ขออนุญาตพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ นำมาเปิดเผยในที่นี้แล้ว โดยคำพิพากษาอ่านเลขที่6044/94 ลงวันที่ 10 มีนาคม 2538 ชัดเจนว่า นายมนัส โบพรหม ซึ่งเป็นชื่อเดิมของร.อ.ธรรมนัส รับสารภาพว่า ได้เจตนาเข้าเกี่ยวข้องกับการนำเข้าเฮโรอีน ผู้ร้องแต่ละคนถูกพิพากษาลงโทษจำคุกเป็นระยะเวลา 6 ปี โดยกำหนดโทษเป็นระยะเวลาขั้นต่ำ 4 ปี และระยะเวลาห้ามปล่อยตัวอีก 2 ปี ที่สำคัญโทษที่ลดลงยังเป็นการลงโทษโดยศาลแขวงไม่ใช้การลดโทษด้วยการอุทธรณ์ และไม่มีการบวนการพลีบารเกนนิ่ง และกักกัน 8 เดือน ซึ่งทั้งหมดเป็นข้อมูลที่แตกต่างจากที่ร.อ.ธรรมเคยพูดเลย

“แสดงว่าที่ ร.อ.ธรรมนัสเคยพูดในสภา ว่าไม่เคยขนยา ค้ายา พูดว่าไม่ได้เข้าสู่กระบวนการไต่สวนสอบสวนอะไรเลยเพราะถูกขัง 8 เดือน โดยกระบวนการพลีบารเกนนิ่ง เท่ากับปฏิเสธว่าไม่ได้จำคุย 4 ปีก็ไม่เป็นความจริง หรือการที่ท่านได้ชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษรต่อกมธ.ป.ป.ช.ว่า ได้อุทธรณ์คำพิพากษาก็ไม่เป็นความจริงอีกเช่นนั้น โดยทั้งหมดท่านพูดขัดแย้งกับคำพิพากษา ท่านโกหกอีกแล้ว” นายธีรัจชัย กล่าว และว่า รัฐบาลนี้มีนโยบายปราบปรามยาเสพติดอย่างไร ถึงได้ให้คนที่มีคุณสมบัติต้องห้ามมาเป็นรัฐมนตรี และ ที่สำคัญพ.ร.บ.ล้างมลทินที่ร.อ.ธรรมนัสนำมาอ้างนั้น ก็ไม่สามารถใช้ได้ เพราะการล้างมลทิน แต่โทษไม่ใช่การล้างความผิด เพราะไม่ใช่การนิรโทษกรรมที่ล้างได้ทั้งคดีแพ่งและอาญา นี่จึงเป็นการเอาหลักการนิรโทษกรรมมาอ้าง ทั้งที่ความผิดยังอยู่ ร.อ.ธรรมนัสบิดเบือนข้อเท็จจริง ความผิดที่ประเทศออสเตรเลียไม่สามารถล้างได้เลย ความผิดที่ศาลพิพากษาจำคุก 6 แต่ลดโทษ 4 ปี จึงยังอยู่จนถึงปัจจุบันและห้ามลงสมัคร ส.ส.และเป็นรัฐมนตรี แม้กรณีที่นี้จะเป็นความผิดที่เกิดขึ้นในต่างประเทศก็ตาม เพราะมีคำวินิจฉัยกฤษฎีกา 276/2525 ชี้ว่า ถือเป็นลักษณะต้องห้ามการลงส.ส.ชัดเจน

นายธีรัจชัย กล่าวต่อว่า ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นที่น่าสงสัยว่า ผู้ต้องโทษจากศาลในคดีอาญา กลับมารับราชการได้อย่างไร ท่านปกปิดความจริง โดยไม่แจ้งกระทรวงกลาโหม ว่าต้องคำพิพากษาจำคุก 6 ปีใช่หรือไม่ การมารับตำแหน่ง ส.ส. ที่อ้างว่ารัฐธรรมนูญปี 2560 ไม่ขัดคุณสมบัตินั้น จากการไปตรวจสอบหลักฐานการสมัคร ส.ส.ก็ไม่มีการเปิดเผยข้อมูลนี้ ถือเป็นความตั้งใจปิดบังว่า ไม่มีคุณสมบัติที่ต้องห้าม ฉ้อโกงให้ได้รับสมัครส.ส.ในปี 2562 หรือไม่ทั้งนี้เรื่องนี้ใครปกปิดต้องระวางโทษจำคุก 10-20 ปี ส่วนการเข้าสู่ตำแหน่งรัฐมนตรี ได้ไปขอข้อมูลการตรวจสอบประวัติจากเลขาฯ ครม. แต่ก็ได้รับการปฏิเสธที่จะให้ข้อมูล โดยแจ้งว่าต้องไปขอเจ้าตัวก่อน ตนจึงสงสัยว่า เหตุใดจึงไม่ส่งข้อมูล คาดเดาได้ว่าท่านต้องการปกปิด เพราะว่าหากบอกไปท่านก็จะไม่ได้เป็นรัฐมนตรี เมื่อหลักฐานชัดเจนขนาดนี้ท่านจะอยู่ในตำแหน่งต่อไปได้หรือ พล.อ.ประยุทธ์ แต่งตั้งบุคคลที่มีลักษณะต้องห้าม แต่งตั้งคนที่ไม่ควรแต่งตั้ง ไม่มีคุณสมบัติมาเป็นรัฐมนตรี ตนขอกอบกู้สภาแห่งนี้ ยึดสิ่งที่ถูกต้องถูกเป็นถูกผิดเป็นผิดความจริงเปิดเผยแล้วจึงขอไม่ไว้วางใจพล.อ.ประยุทธ์ และร.อ.ธรรมนัส