ไลฟ์เหตุกราดยิงเป็นเหตุ! ส.ว.จี้จัดระเบียบสื่อ “พุทธิพงษ์” จ่อดันสื่อรัฐเสนอข่าวจริงแห่งเดียว

วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา 10.00 น. ที่รัฐสภา ในการประชุมวุฒิสภา มีนายศุภชัย สมเจริญ รองประธานวุฒิสภาคนที่ 2 ทำหน้าที่ประธานการประชุม โดยนายวันชัย สอนศิริ ส.ว.ตั้งกระทู้ถาม พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ถึงมาตรการความพร้อมรับมือเหตุวิกฤติร้ายแรงในพื้นที่ต่างๆ หลังเกิดเหตุกราดยิงที่ จ.นครราชสีมา ว่า

สิ่งที่ประชาชนยังวิตกกังวลและคาใจคือ แต่ละจังหวัดมีความพร้อมป้องกันภัยเหตุร้ายแรงในทุกด้านอย่างไร ขณะผู้ก่อเหตุมีเพียงคนเดียวยังเสียเวลาระงับเหตุมาก หากมีผู้ก่อเหตุ 5-10 คน จะทำอย่างไร อาจจะยึดจังหวัดได้ รวมถึงมีมาตรการควบคุมอาวุธสงครามอย่างไร โดยเฉพาะกับหน่วยงานที่นำอาวุธสงครามนั้นมาใช้

พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวชี้แจงว่า กรณีกราดยิงที่ จ.นครราชสีมา เป็นครั้งแรกที่เกิดขึ้นในไทย เป็นบทเรียนที่จะต้องมีมาตรการรองรับ ผู้ว่าราชการจังหวัดต้องไปกำหนดแนวทางป้องกันเหตุร้ายลักษณะนี้ เพื่อหยุดยั้งเหตุการณ์ให้เร็วที่สุด เช่น หากสถานการณ์เกินเหตุอาจต้องให้ทหารมาเป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงาน หรือถ้าบานปลายกว่านั้น อาจต้องใช้กฎหมายความมั่นคงเข้ามาจัดการ

ส่วนการนำอาวุธสงครามาใช้ก่อเหตุได้อย่างง่ายๆ นั้น ปกติในกองร้อยจะแยกคลังอาวุธกับคลังกระสุนเก็บไว้คนละสถานที่ แต่ผู้ก่อเหตุเมื่อไปถึงก็ยิงเจ้าหน้าที่ที่เฝ้าคลังอาวุธและคลังกระสุน กะเอาให้ตาย เพื่อเอาอาวุธและกระสุนออกมา จากนั้นได้ขับรถหนีมาและยิงกราดไปตลอดทาง ไม่ใช่เรื่องบันดาลโทสะ แต่เป็นเรื่องสภาวะจิตใจ จึงไม่อยากให้โทษทหารในเรื่องที่เกิดขึ้น

ขณะที่นพ.อำพล จินดาวัฒนะ ส.ว.ถามกระทู้เรื่องมาตรการควบคุมสื่อมวลชนในการเสนอข่าวช่วงเหตุการณ์วิกฤต โดยเฉพาะการไลฟ์สดเหตุการณ์ในที่เกิดเหตุ ที่ทำให้ผู้ก่อเหตุรู้ความเคลื่อนไหวต่างๆ ทำให้สถานการณ์เลวร้ายยิ่งขึ้น อยากทราบว่ารัฐบาลจะมีมาตรการจัดการ และกำกับสื่อมวลชนในสถานการณ์วิกฤตอย่างไร

นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ชี้แจงว่า ยอมรับว่าปัจจุบันการควบคุมจำกัดพื้นที่สื่อมีความยากลำบาก กรณีเหตุการณ์ที่ จ.นครราชสีมา ถือเป็นครั้งแรกที่ทุกคนพยายามทำตัวเป็นสื่อ ขณะนี้สื่อแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ

1.สื่อหลักที่ได้รับอนุญาตการนำเสนอข่าวจาก กสทช.

2.สื่อที่ไม่ได้ขออนุญาตจากใคร แค่มีคนติดตาม 100 คน ก็เรียกตัวเองว่าสื่อ นำเสนอข่าวผ่านทางโซเชียลมีเดีย ถือเป็นเรื่องอันตราย

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบางสื่อเสนอเนื้อหา ภาพไม่เหมาะสมนั้น รัฐบาลพยายามประสานไปยังเฟซบุ๊ก เพื่อให้ช่วยบล็อก หรือลบเนื้อหา รูปที่ไม่เหมาะสม เช่น รูปผู้เสียชีวิต รูปการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ซึ่งเฟซบุ๊กก็ให้ความร่วมมือด้วยดี แต่รัฐบาลไม่มีกฎหมายที่จะไปดำเนินการลบ หรือบล็อกเนื้อหาเหล่านี้ด้วยตัวเอง เพราะเป็นการลิดรอนสิทธิประชาชน

“หลังจากนี้คงต้องไปหาวิธีจัดระเบียบสื่อ และควบคุมสื่อโซเชียลมีเดียในช่วงเกิดเหตุวิกฤติ ให้เหมาะสม อาจจะต้องพิจารณาหาสื่อหลักของรัฐเพียงแห่งเดียว ให้เป็นผู้รับผิดชอบหลักในการนำเสนอข่าวช่วงเกิดเหตุการณ์วิกฤติ” นายพุทธิพงษ์ กล่าว