ทวงสัญญา28ก.พ. เครือข่ายอันดามันฯ ขอดูความจริงใจจากรัฐ ถ้าเบี้ยวเตรียมเจอกันอีกรอบ!

วันนี้ (27 ก.พ.) เครือข่ายปกป้องอันดามันจากถ่านหิน ได้ออกแถลงการณ์เครือข่ายปกป้องอันดามันจากถ่านหิน ฉบับที่ 4/2560 ความว่า

ตามที่นายกรัฐมนตรีมีคำสั่งให้หน่วยงานที่รับผิดชอบไปดำเนินการจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมใหม่ทั้งสองฉบับ กรณีโรงไฟฟ้าถ่านหินและท่าเทียบเรือขนส่งถ่านหิน จ.กระบี่ คำสั่งดังกล่าวมิได้ปรากฎเป็นลายลักษณ์อักษร เป็นเพียงคำบัญชานายกรัฐมนตรีที่มีลักษณะทางการบริหาร กลับปรากฎปัญหาที่คาดคิดไว้แล้วว่าจะเกิดขึ้นคือ หน่วยงานผู้รับผิดชอบไม่รับคำสั่งนายกรัฐมนตรีและนำไปดำเนินการให้เกิดผลในทางปฏิบัติและเกิดผลในทางกฎหมาย

หน่วยงานที่รับผิดชอบซึ่งจะต้องนำคำสั่งนายกรัฐมนตรีไปปฏิบัติให้เกิดผลเป็นจริงคือ สำนักงานนโยบายและแผนการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) และ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) โดยหน่วยงานแรกได้ปฏิเสธคำสั่งนายกรัฐมนตรีด้วยการปฏิเสธการออกหนังสือเพื่อทำให้รายงานฉบับเก่าเป็นโมฆะ และให้เริ่มจัดทำรายงานฉบับใหม่ตามข้อตกลงระหว่างกัน ส่วน กฟผ.ได้แสดงเจตรมณ์มาตลอดว่าไม่ได้ยอมรับคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ให้ทำรายงานอีไอเอใหม่ แต่กลับมีความพยายามในการปรับปรุงรายงานฉบับเก่า

เครือข่ายปกป้องอันดามันจากถ่านหินได้พิจารณารอคอยมาเป็นเวลา 6 วันแล้ว โดยได้ใคร่ครวญว่ารัฐบาลมีความจริงใจในการดำเนินการตามข้อตกลงหรือไม่ ทั้งนี้ ครั้งแรกได้กลับคำไม่ออกเป็นมติคณะรัฐมนตรี มาจนถึงปัจจุบันหน่วยงานระดับกรมคือ สผ.ยังไม่ออกเอกสารอย่างเป็นทางการเพื่อทำให้รายงานฉบับเก่าเป็นโมฆะ ซึ่งจะเป็นหลักประกันว่าจะมีการทำรายงานฉบับใหม่จริง เพราะหน่วยงานเจ้าของโครงการยืนยันมาตลอดว่าจะปรับจากรายงานฉบับเดิม สิ่งเหล่านี้ทำให้เครือข่ายเชื่อมั่นว่ารัฐบาลจะเบี้ยวเป็นรอบที่สอง

ทางเครือข่ายได้ประชุมหารือกันอย่างรอบคอบแล้วมีมติว่าจะให้โอกาสรัฐบาลแสดงความจริงใจโดยการให้ สผ.ออกหนังสืออย่างเป็นทางการว่ารายงานเดิมทั้ง๒ฉบับเป็นโมฆะภายในวันอังคารที่ ๒๘ กพ.ซึ่งได้ครบกำหนด 7 วันพอดี หากรัฐบาลยังเพิกเฉยต่อการแสดงความจริงใจดังกล่าว เครือข่ายปกป้องอันดามันจากถ่านหินจะกลับมาชุมนุมใหม่ดังที่ได้เคยตกลงไว้เมื่อครั้งเจรจากับแม่ทัพภาคที่1 ว่าหากรัฐบาลเบี้ยวแม่ทัพจะออกเงินให้เครือข่ายมาชุมนุม

ทั้งนี้ รัฐบาลได้ดำเนินการผิดพลาดอย่างมหาศาลในการจัดการทรัพยากรของชาติ ด้วยการนำพื้นที่ชุ่มน้ำกว่า๑แสนไร่ที่ได้รับการรับรองจากนานาชาติว่าเป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยการยกระดับพื้นที่กระบี่เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำนานาชาติ (แรมซ่าร์ไซด์) ให้โรงไฟฟ้าถ่านหินซึ่งทั้งโลกพิสูจน์แล้วว่าสกปรกที่สุด ก่อมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนมากที่สุด มาตั้งอยู่ในพื้นที่ชุ่มน้ำที่นานาชาติให้การรับรองว่าควรค่าแก่การรักษาไว้

รัฐบาลได้ตัดสินใจผิดพลาดอย่างรุนแรงในการนำพื้นที่การท่องเที่ยวซึ่งได้รับการยอมรับว่าสวยที่สุดอันดับต้นของโลก อย่างจังหวัดกระบี่มาเป็นสถานที่ตั้งโรงไฟฟ้าถ่านหินและให้เกิดการขนส่งถ่านหินผ่านทะเลอันงดงาม โดยความงดงามของกระบี่และอันดามันสามารถทำรายได้ทั้งอันดามันให้ประเทศปีละ ๔ แสนล้าน ก่อเกิดการจ้างงานหลายแสนคน มีธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวนับ๑๐๐ ธุรกิจ และรัฐบาลได้ตัดสินใจให้เกิดโรงไฟฟ้าถ่านหินตรงบริเวณนี้ ซึ่งนักท่องเที่ยวเกิดอาการมึน งง กันทั้งโลกว่ารัฐบาลไทยคิดอะไรอยู่ นำสิ่งที่มีคุณค่าที่สุดที่ทั้งโลกยกย่องมาทำลายทิ้ง

สิ่งที่รัฐบาลนี้คิดไม่เป็นคือ การประเมินเชิงยุทธศาสตร์ (SEA) ว่าพื้นที่ไหนควรจะพัฒนาอะไร การจัดการทรัพยากรของประเทศควรทำอย่างไร ภายใต้รัฐบาลทหาร ใครใหญ่ใครก็สามารถชี้นิ้วว่าจะเกิดโครงการทำลายสิ่งแวดล้อมตรงไหนก็ได้ ประเทศเราจะพังพินาศ เพราะการไม่ประเมินการจัดการทรัพยากรของชาติในเชิงยุทธศาสตร์ ทำลายได้แม้กระทั่งพื้นที่ซึ่งโลกให้การยกย่อง

ขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่าการรอคอยของเราจะสิ้นสุดลงเมื่อครบ 7 วันคือวันอังคารที่ 28 ก.พ. หากรัฐบาลจริงใจในคำสัญญา เพียงแค่สั่งการให้หน่วยงานระดับกรมออกหนังสือมาแผ่นเดียว หากยังทำเรื่องเท่านี้ไม่ได้ ก็ถือเป็นการแสดงว่าเจตนาเบี้ยวประชาชน

หากวันพรุ่งนี้ยังไม่มีหนังสือแสดงความจริงใจของรัฐบาลออกมา เครือข่ายจะออกแถลงการณ์ชุมนุมต่อไป