ขอบคุณข้อมูลจาก | ข่าวสดออนไลน์ |
---|---|
เผยแพร่ |
เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. ที่โรงแรมประจักษ์ตรา เขตเทศบาลนครอุดรธานี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย(รปช.), นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารพรรคฯ น.ส.เพชรชมภู กิจบูรณะ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อพรรค รปช. เดินทางมาร่วมกิจกรรมการอบรมหลักสูตร “อุดมการณ์และการสื่อสารทางการเมือง” โดยมีอดีตผู้สมัคร ส.ส.อุดรธานีของพรรคฯ ผู้ประสานงานพรรคฯ และสมาชิกพรรค เข้าร่วมประมาณ 200 คน โดยมีเจ้าหน้าที่ กกต.อุดรธานี ตำรวจสันติบาล เจ้าหน้าที่ตำรวจใน-นอกเครื่องแบบ มาร่วมสังเกตการณ์ดูแลความเรียบร้อย
นายสุเทพ ขึ้นกล่าวบนเวทีว่า มีคนกล่าวหาว่าตนตระบัดสัตย์ ไม่ยุ่งการเมืองแล้ว ทำไมออกมาตั้งพรรค ซึ่งมีบางคนที่ไม่เข้าใจความจริง ตอนที่ออกมาเดินขบวนต่อสู้กับระบอบทักษิณ ไม่ได้เป็นการต่อสู้เพื่อตัวเอง แต่เราเป็นห่วงประเทศไทย ไม่ต้องการให้ประเทศมีการปกครองที่ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง ไม่ให้มีการใช้อำนาจเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มตัวเอง ไม่เคารพนับถือประชาชนที่มีอำนาจเป็นใหญ่อย่างแท้จริง
“หักหลังทรยศต่อประชาชนที่ลงคะแนนให้ ไปเขียนกฎหมายนิรโทษกรรม ไม่ยอมรับคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญมีการจะแก้ไขกฎหมาย แก้ไขรัฐธรรมนูญที่นำไปสู่ความไม่ชอบธรรมในการเป็นรัฐบาล รวมทั้งมีการโกงในโครงการใหญ่ ๆ มากมาย แต่ที่จับได้ไล่ทัน คือ โครงการรับจำนำข้าว ที่ทำให้ชาวนาไม่ได้รับเงิน เพราะมีคนโกงไปก่อนหน้าแล้ว จนทำให้นายกยิ่งลักษณ์หลบหนีไป ส่วนพวกที่หนีไม่ทันก็ติดคุกไป”
นายสุเทพ กล่าวต่อว่า ตนเคยเป็นนักการเมืองมืออาชีพกว่า 40 ปี เป็นมาแล้วหลายตำแหน่ง หลายพรรคมีการทำการเพื่อผลประโยชน์กับเจ้าของพรรค ไม่ได้ทำเพื่อประชาชน ละเลยประชาชน ไม่เคารพไม่ฟังเสียงประชาชน ตนจึงมาชวนประชาชนมาร่วมตั้งพรรคการเมืองขึ้นมา ให้เป็นของประชาชนอย่างแท้จริง ไม่ใช่พรรคของลุงกำนัน แต่ตนมาช่วยประชาชนตั้งพรรค วันนี้ตั้งพรรคสำหรับประชาชนสำเร็จแล้ว แม้จะเป็นพรรคเล็ก ๆ แต่ก็มีพรรคนี้เกิดขึ้นในการเมืองของประเทศไทย มี ส.ส.แล้ว มีรัฐมนตรีของพรรคแล้ว วันนี้ตนอายุ 70 แล้ว ตั้งใจจะอยู่ให้ถึง 80 จะใช้เวลาที่เหลือ ถ่ายทอดวิทยายุทธให้กับคนรุ่นใหม่
“เรื่องคนชังชาติ ผมไม่อยากจะพูด ทุกวันมีคนแช่งชักว่าประเทศไทยไม่ดีสักเรื่อง แต่เป็นว่าพวกไหนที่ชังชาติ มาอยู่กับเราไม่ได้ เราเป็นพวกรักชาติ เรื่องนี้ไม่ใช่เป็นวาทกรรมแล้ว เป็นเรื่องใหญ่ของเรา เรื่องของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นเรื่องสำคัญของพรรคเรา ที่เราจะระดมทั้งคนรุ่นเก่ารุ่นใหม่มาร่วมเสนอความคิดว่า พรรคเราจะไปทางไหนอย่างไร พรรคเราตั้งไม่มีกลุ่ม ใครจะเข้ามาเป็นกลุ่มมาเป็นใหญ่ไม่ต้องมา พรรคนี้ไม่ใช่ของลุงกำนัน แต่เป็นของประชาชนทุกคน”
นายสุเทพ กล่าวภายหลังการบรรยายว่า การพบปะสมาชิกพรรค เป็นกิจกรรมตามปกติ เราไปตามจังหวัดต่าง ๆ ที่สมาชิกพรรคฯ และพี่น้องประชาชนมีความพร้อม เราไปพูดคุยเรื่องการทำงานของพรรครวมพลังประชาชาติไทย พูดเรื่องอุดมการณ์ของพรรค พูดเรื่องความหมายของการเป็นพรรคการเมืองของการเป็นพรรคการเมืองของประชาชน และเราต้องการให้ประชาชนทำการเมืองด้วยความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง ไม่ได้มีนัยอะไรเป็นการทำงานทางการเมืองของพรรค โดยได้เงินสนับสนุนจากทาง กกต. และเราก็จะทำแบบนี้ต่อเนื่องไปเรื่อง ๆ ในทุก ๆ จังหวัด
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่จะมีการนัดชุมนุมประชาชนของพรรคการเมืองหนึ่ง รวมทั้งจะมีกิจกรรมวิ่งไล่ลุง มีความคิดเห็นอย่างไร นายสุเทพ ตอบว่า ตนเป็นคนทำม็อบมาก่อน ในปี 2556-2557 ที่ตนกับเพื่อน ๆ เป็นแกนนำ นำประชาชนมาชุมนุมมาเดินขบวน ที่เรียกว่ามีคนหลายล้านคนจากทั่วประเทศเข้ามาร่วมกัน แต่ตอนนั้นที่เรามาชุมนุมเดินขบวนกันเพราะว่า ฝ่าย ส.ส. ได้เอาอำนาจอธิปไตยของประชาชนไปใช้ในทางที่ผิด คือแทนที่จะไปเขียนกฎหมายไปแก้กฎหมาย เพื่อประโยชน์ของประชาชน กลับไปเขียนกฎหมายนิรโทษกรรมช่วยเหลือพวกตัวเอง ที่ถูกศาลพิพากษาลงโทษจำคุกเพราะทุจริต ไปเผาบ้านเผาเมือง ไปฆ่าตำรวจ ฆ่าทหาร ฆ่าประชาชน อย่างนั้นมันเรียกว่าทรยศต่อหลักการที่ประชาชนมอบให้
นายสุเทพ กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกันรัฐบาลในขณะนั้นก็คอรัปชั่น โครงการรับจำนำข้าวโครงการเดียวก็โกงชาติโกงแผ่นดินไปตั้ง 4-5 แสนล้านบาท นี่ถ้าไม่ใช่เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ มาช่วยไว้ ป่านนี้ชาวนาก็ยังต้องผูกคอตายกันอีกไม่รู้เท่าไหร่ เพราะว่าเอาข้าวไปจำนำแล้วไม่ได้เงิน ฉะนั้นการออกมาเดินขบวนชุมนุมของพวกตนในตอนนั้น เพื่อที่ต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศให้ดีขึ้น กำจัดระบอบทักษิณที่เราเห็นว่าเป็นอันตรายต่อประเทศไทย
“ผมไม่ทราบว่าที่กลุ่มของคุณธนาธรที่คิดจะออกมาเดินขบวน เขามีวัตถุประสงค์ที่แท้จริงว่าอย่างไร ไอ้เรื่องที่บอกว่าวิ่งไล่ลุง มันก็เป็นวาทะกรรม แต่ว่าจริง ๆ แล้ว ต้องถามว่ามีเป้าหมายอะไร ถ้าเป้าหมายของคุณธนาธร เพียงแต่ต้องการเอาพลังของประชาชนมาช่วยเหลือตัวเอง ที่กำลังถูกดำเนินคดี เพราะว่าไปทำความผิดกฎหมายว่าด้วยพรรคการเมืองไว้ อย่างนั้นต้องเรียกว่าไม่จริงใจต่อประชาชน ไม่บริสุทธิ์ใจ และผมก็คิดว่าเดี๋ยวนี้ประชาชนเขาคิดได้ เขามีความเข้าใจ” นายสุเทพกล่าว
ต่อมา นพ.วรงค์ ได้ขึ้นเวทีอภิปรายต่อเรื่องคนชังชาติ เช่น ไม่ส่งเสริมศาสนาทุกศาสนา ทั้งๆ ที่ศาสนาอยู่กับสังคมไทยมาหลายร้อยปี ดูแคลนวัฒนธรรมประเพณีว่าเป็นของโบราณ ไม่เอาการยิ้ม ไหว้ครู การเรียกลุง ป้า น้า อา ซึ่งถือว่าเป็นรากของสังคมไทย ตลอดจนดูถูกดูแคลนประเทศไทย เมื่อมีปัญหาชอบพาต่างชาติเข้ามาวุ่นวายเรื่องภายใน ตลอดจนประจานประเทศให้ชาวต่างชาติมายุ่ง มีพฤติกรรมทำลายความเชื่อมั่นและไม่ยอมรับคำตัดสินของศาล สิ่งเหล่านี้คือพฤติกรรมชังชาติ ที่พยายามปลูกฝังความเชื่อนี้แก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง จนเรียกว่าลัทธิชังชาติ แม้แต่อเมริกา ในอดีตก็เคยมีคดีความ ตัดสินให้จำคุกมาแล้วในกรณีชังชาติด้วย