เพื่อไทย กางไทม์ไลน์ตรวจสอบรัฐบาล ขณะที่ กมธ.งบฯ เผยตั้งเป้าลดงบ 50,000 ล้าน

“เพื่อไทย” ลั่น จะสามารถชี้ให้ปชช.เห็นข้อผิดพลาดของการทำงานของ รบ. ได้ ขณะที่ กมธ.งบฯ ติง กม.กำกวมปมเปิดให้ใช้ “งบฯพลางก่อน” หวั่น เป็นปัญหาในวันหน้า

เมื่อเวลา 15.50 น. วันที่ 4 พฤศจิกายน ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) คณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคพท. นำโดย น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรค นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล กมธ.พิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณ ปี 63 นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม และประธานวิปฝ่ายค้าน นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และนายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคพท. แถลงภายหลังการประชุม

โดยน.อ.อนุดิษฐ์ กล่าวว่า หลังเปิดประชุมสภา พท.จะขับเคลื่อนการทำงานของพรรคให้สอดคล้องกับการทำงานในสภา โดยมีประเด็นสำคัญ อาทิ เรื่องการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งพรรคพท. เราคิดว่า ข้อมูล และความชัดเจนเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลที่บกพร่อง ผิดพลาด และไร้ประสิทธิภาพ ได้มีให้เห็นมาโดยลอด รวมถึงภายใต้คณะกมธ.ทั้ง 35 คณะ ได้เห็นร่องรอยของความทุจริต คอร์รัปชั่น ด้วยข้อมูลเหล่านี้เราเห็นว่าควรยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่เราทำงานร่วมกับพรรคร่วม ดังนั้น วัน เวลา และตัวบุคคล ที่จะอภิปรายคงจะได้มีการหารือกับพรรคร่วม ทั้งนี้ เราเห็นว่ามีรัฐมนตรีหลายคนที่จะถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ บางคนเป็นคนที่สังคมอาจจะคาดไม่ถึง อย่างไรก็ตาม ด้วยข้อมูลที่มีอยู่เราไม่ได้มีปัญหาเรื่องของกรอบเวลา แต่ขอหารือกับพรรคร่วมก่อนเพื่อให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โดยเราจะสามารถสะท้อนให้เห็นการบริหารงานที่ผิดพลาด และบกพร่องของรัฐบาลให้พี่น้องประชาชนเห็นได้

ด้านนายวรวัจน์ กล่าวถึงการพิจารณาพ.ร.บ. เราพิจารณาไปแล้ว 2 กระทรวงคือ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงดิจิตัล และขณะนี้กำลังพิจารณากระทรวงทรัพฯ ซึ่งกระบวนการจัดทำงบประมาณครั้งนี้ไม่ได้เป็นไปตามกระบวนการงบประมาณของภาครัฐ ไม่ได้กระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ได้สร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้แก่ประชาชน และไม่สามารถพัฒนาเศรษฐกิจได้ มีร่องรอยของการทุจริต ซึ่งกมธ.กำลังหาข้อมูลในเชิงลึกอยู่ ซึ่งกมธ.เห็นว่า งบฯปีนี้จะมีปัญหาเรื่องการกระจายงบฯอย่างแน่นอน นอกจากนี้ กมธ. ได้มีการพูดคุยกันถึงการเสนอปรับลดงบฯจำนวนมาก โดยเฉพาะงบฯที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ และส่อไปในทางเอื้อให้มีการทุจริต ดังนั้น อย่าตกใจ หาก กมธ.จะเสนอตัดงบฯจำนวนมาก

“ปีนี้มีการใช้งบฯพลางก่อน คือ มีการให้ใช้งบฯไปก่อน ก่อนที่ร่างพ.ร.บ.จะผ่านการพิจารณา ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ไปเพื่อเป็นเงินเดือนของข้าราชการประจำ และจะประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อให้เป็นกฎหมาย แต่ปีนี้มีการใช้พ.ร.บ.ฉบับใหม่ ที่ให้อำนาจสำนักงบฯ สามารถให้อำนาจนายกฯใช้งบฯส่วนนี้ได้เลย โดยไม่ได้ประกาศเป็นราชกิจจานุเบกษา ซึ่งประเด็นปัญหาอยู่ที่ มาตรา 52 ที่กำหนดว่า ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่รัฐในหน่วยที่รับงบฯ ถ้าไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ฉบับนี้ นอกจากจะถูกดำเนินคดีแล้ว อาจถูกเรียกเงินคืน ซึ่งเราพบว่ามีโครงการที่ส่อเอื้อทุจริต และไ่เกิดประโยชน์ ซึ่งอาจถูกเรียกเงินคืนหาก กมธ.ไม่เห็นด้วย หรือไปปรับลดงบฯตรงส่วนนั้นๆลง แปลว่าการใช้งบฯส่วนนั้น จะเป็นการใช้งบฯที่ผิดกฎหมายทันที ผมมองว่ามาตรานี้มีความไม่ชัดเจน ซึ่งทางรัฐบาลควรที่จะต้องทำให้ชัดเจนก่อนเพื่อที่จะไม่เป็นปัญหาตามมาภายหลัง เพราะไม่เช่นนั้น หากท่านใช้เงินไปแล้ว แต่ถูกเรียกเงินคืนจะเป็นปัญหาที่กระทบต่อการทำงาน และประชาชนที่ได้รับงบฯเป็นอย่างมาก” นายวรวัจน์ กล่าว

นพ.ชลน่าน กล่าวว่า กมธ.ตั้งเป้าปรับลดงบฯ จำนวนประมาณ 50,000 ล้านบาท จากทั้งหมด ที่จะเอามาทำประโยชน์ในทางอื่นได้ซึ่งมีงบฯที่ไม่สามารถชี้แจงได้ โดยเฉพาะในส่วนของงบฯกลาง ขณะที่งบฯรายกระทรวงดูแล้วจะปรับลดได้รวมแล้วกว่า 20,000 ล้านบาท ทั้งนี้ มีการจัดงบฯที่ซ่อนเม็ดเงินไว้ทำให้ กมธ.ตามดูลำบาก นอกจากนี้ การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบฯ ปีนี้ทำได้ลำบาก เพราะตัวร่าง พ.ร.บ.เข้ามาสู่การพิจารณาช้า ทำให้โดนบีบด้วยเงื่อนเวลา