“แม่ธนาธร” ยัน 8 ม.ค. ลูกชายกลับบ้านเซ็นโอนหุ้น ย้ำ ทำธุรกิจมา40ปี ยึดมั่นกรอบกม.

“แม่ธนาธร” ยัน 8 ม.ค. ลูกชายกลับบ้านเซ็นโอนหุ้นวี-ลัคมีเดียพร้อมหุ้นในเครือไทยซัมมิท แจงประเด็นเซ็นโอนให้หลานทดลองบริหารฟื้นฟูกิจการเป็นเรื่องจริง ย้ำ ตลอดชีวิตทำธุรกิจ 40 ปียึดมั่นในกรอบกฎหมาย

ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้เบิกตัวนางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ ขึ้นเป็นพยานในคดีหุ้นสื่อบริษัท วี-ลัค มีเดีย ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ โดยนางสมพรยืนยันว่า การโอนหุ้นในวันที่ 8 มกราคม 62 เกิดขึ้นที่บ้านของนายธนาธร โดยกำหนดเวลาหลังเลิกงานแล้วให้มาเซ็นโอนหุ้นกัน ในส่วนของเอกสารทนายความเป็นคนจัดเตรียมมา โดยรายละเอียดมอบหมายให้น.ส. ลาวัลย์ จันทร์เกษม พนักงานบริษัทที่ดูงานด้านบัญชี และน.ส.กานต์ฐิตา อ่วมขำ พนักงานที่ดูแลด้านการเงิน เป็นผู้ประสานโดยตรงกับทนายความ ในวันดังกล่าวทราบว่านายธนาธรอยู่ที่บุรีรัมย์แล้วจะนั่งรถกลับบ้าน เมื่อตนเดินทางไปถึงบ้านของนายธนาธร พบว่า นายธนาธรและนายณัฐธนนท์ไปถึงก่อนแล้ว เพราะนัดไว้ในเวลา 18.00 น. ก่อนที่ตนจะเซ็นเอกสารได้อ่านดูคร่าวๆว่าถูกต้องแล้วจึงเซ็นซื่อ ในวันดังกล่าวตนได้เตรียมเช็คมา 2 ใบ เพื่อชำระค่าหุ้น สั่งจ่ายนายธนาธร 6,750,000 บาท โดยเช็คลงวันที่ 8 มกราคม 62 ซึ่งตนไม่รู้ว่าเช็คจะนำไปขึ้นเงินเมื่อไร สำหรับค่าป่วยการทนายความไม่ต้องจ่ายเงินเพราะเป็นทนายความของพรรค

ต่อมาศาลได้พยายามซักถามกรณีหุ้นดังกล่าว ซึ่งมีปัญหาจากการไปจดแจ้งหลังวันที่นายธนาธรสมัครรับเลือกตั้ง นางสมพรกล่าวว่า ตนบริหารบริษัท 40 กว่าแห่ง ปกติการยื่นสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น (บอจ.5) จะเคลียร์ให้เรียบร้อยก่อนยื่นงบดุล หลังการโอนหุ้นไม่ได้หมายความว่าเอกสารต้องทำเรียบร้อยในทันที ปกติก่อนการโอนหุ้นบริษัทอื่นๆ จะมีการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น แต่การโอนวี-ลัคมีเดีย ดำเนินก่อนช่วงก่อนสิ้นปีทุกคนงานยุ่ง นายธนาธรก็เตรียมตัวมาเล่นการเมือง เขาต้องถอนหุ้นออกจากเครือไทยซัมมิททั้งหมด ในส่วนของบรอษัท วี-ลัค มีเดีย ไม่มีการเปลี่ยนแปลงมานานจึงไม่มีการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น

นางสมพร ได้ชี้แจงถึงการโอนหุ้นให้หลานชาย 2 คน ในวันที่ 11 มกราคม 62 คือนายทวี จรุงสถิตพงศ์ หรือบี และนายปิติ จรุงสถิตพงศ์ หรือเอ เนื่องจากตนเสียดายที่ต้องปิดบริษัท วี-ลัค มีเดีย เพราะนางรวิพรรณที่เคยบริหารจนกิจการบริษัทมีผลประกอบการดี ก็มีลูกตามมาติดๆอีกหลายคน จึงอยากให้หลานเข้ามาทำบริษัท ไม่ใช่บริษัทขาดทุนแล้วอยากปิดบริษัท โดยนายทวี เรียนจบนิเทศศาสตร์มาโดยตรงมีความสนใจ จึงขอให้นายปิติ (พี่ชาย) มาช่วยเพราะบริษัท วี-ลัค มีเดีย ไม่มีพนักงานเหลืออยู่แล้ว ตนจึงตกลงโอนหุ้นทั้ง 2 ก้อนไปให้หลานชาย เพื่อฟื้นฟูบริษัท เป็นการโอนให้หลานไม่ใช่การขาย ซึ่งหลานทั้ง 2 คนนี้ เป็นหลานแท้ๆ พี่ชายคนโตของตนเสียชีวิตไปเกือบ 20 ปี ที่ผ่านมาตนอุ้มชูหลานทั้ง 2 คน มาตลอด หลังจากหลานไปเรียนรู้แผนงานได้กลับเสนอตนให้ลงทุนเพิ่มในบริษัท วี-ลัค มีเดียอีกหลายล้านบาท แต่ตนตัดสินใจไม่ลงทุนเพิ่มเพราะมองว่าเป็นธุรกิจที่ตกเทรนแล้ว จึงให้หลานทั้ง 2 คน โอนหุ้นกลับมา จากนั้นจึงมีการเจรจากับลูกหนี้บางรายให้ทยอยจ่ายหนี้ โดยลดหนี้ให้ครึ่งหนึ่งเพื่อให้สามารถปิดบัญชีได้เร็ว จึงเป็นเหตุให้การปิดบัญชีบริษัททำได้ในเดือนมิ.ย.62

นอกจากนี้ นางสมพรยังเบิกความด้วยว่า เริ่มทำธุรกิจตั้งแต่อายุ 23 ปีหลังเรียนจบจากประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อแฟนมาจีบก็แต่งงานเมื่ออายุ 24 ปี จนถึงขณะนี้อายุ 68 ปีแล้ว ในการบริหารงานตลอด 40 ปี ตนยึดมั่นในกฎหมาย รวมถึงกรอบเวลาต่างๆในกฎหมาย แต่การโอนหุ้นบ.วี-ลัคมีเดียแตกต่างจากหุ้นบริษัทอื่นเพราะเป็นการโอนหุ้นภายในกันเอง จึงไม่มีการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น นอกจากนั้น ในวันที่ 8 มกราคม มีการเซ็นโอนหุ้นในเครือไทยซัมมิทหลายบริษัท แต่มีการชำระเงินเฉพาะบริษัท วี-ลัคมีเดีย ส่วนหนึ่งเพราะต้องการปิดบริษัทนี้ และการนำเงินจำนวนมากมาชำระค่าหุ้นหลาย 10 บริษัทต้องใช้เวลาเตรียมการนานพอสมควร ส่วนการโอนหุ้นให้หลานชายทั้ง 2 คน ก็เป็นการโอนให้ไปบริหารฟรีๆ แต่ในต้นขั้วเอกสารระบุว่ามีการชำระค่าหุ้นในราคาพาร์ 10 บาท

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศในการไต่สวนพยานปากนางสมพรเป็นไปอย่างผ่อนคลาย ศาลไม่ได้ซักถามอย่างกดดันหรือตึงเครียด เมื่อเห็นว่านางสมพรไม่เข้าใจหรือมีอาการงุนงงกับคำถามของทนายฝ่ายผู้ถูกร้อง ก็ช่วยอธิบายคำถามพร้อมระบุว่าทนายความซักคุณแม่เวียนหัวเลย ขณะที่นางสมพรได้เบิกความด้วยอาการตื่นเต้น กล่าวคำเรียกแทนตัวเอง ว่าข้าพเจ้าบ้าง หรือหนูบ้าง หลังเสร็จสิ้นการเบิกความนางสมพรยกมือไหว้ขอบคุณศาลพร้อมกล่าวว่า “หนูก็ตื่นเต้น”