“พิชัย” แนะ “บิ๊กตู่” ไม่ไหวอย่าฝืน รีบลาออกจากหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ “ชิมช้อปใช้” หลงทาง แก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้

“พิชัย” แนะ “บิ๊กตู่” ไม่ไหวอย่าฝืน รีบลาออกจากหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ “ชิมช้อปใช้” หลงทาง แก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้ หวั่น งบกลาง 5.18 แสนล้านบาทใช้จ่ายสะเปะสะปะ วอน เร่งสร้างความมั่นใจ ปลดธรรมนัส จับไก่อูเรื่องเฟกนิวส์

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พลังงาน กล่าวว่า เวิลด์อิโคโนมิกฟอรั่ม จัดอันดับความสามารถแข่งขันของไทยตกลง 2 อันดับ มาอยู่ที่ 40 ในขณะที่เวียดนามดีขึ้น 10 อันดับ ไอเอ็มเอฟ และหลายสำนักวิเคราะห์ เห็นตรงกันว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้น่าจะโตได้ประมาณ 2.8% หรืออาจแย่กว่า ซึ่งถือว่าต่ำมาก ทั้งหมดนี้มาจากผลการบริหารเศรษฐกิจที่ล้มเหลวมาตลอด 5 ปี ช่วงเศรษฐกิจโลกดีไทยก็แย่ อีกทั้งปัจจุบันรัฐบาลยังหลงทางคิดว่า ชิมช้อปใช้ จะสามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ และจะเพิ่มจีดีพีได้เกิน 3 % ซึ่งเป็นแนวคิดที่ผิด ชิมช้อปใช้ ไม่ต่างอะไรกับเช็คช่วยชาติสมัยรัฐบาลประชาธิปัตย์ซึ่งไม่มีผลต่อเศรษฐกิจเลย ประชาชนอาจจะดีใจเพียงชั่วคราวที่ได้เงินฟรี แต่เป็นเงินจำนวนน้อยมาก การใช้จ่ายเพียงเท่านั้นไม่สามารถทำให้จีดีพีขยายได้ เหมือนกับตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ และรัฐบาลยังหลงทางคิดว่าดี จะออกชิมข้อปใช้ เฟส 2 อีก ยิ่งเท่ากับหลงทางเข้าไปใหญ่แทนที่จะใช้เงินเพื่มความสามารถแข่งขันหรือเพิ่มศักยภาพของประเทศที่อันดับความสามารถแข่งขันลด เพราะอีก 2-3 เดือนให้หลังคนก็จะลืมชิมช้อปใช้และเริ่มลำบากกันต่อแล้ว เพราะชิมช้อปใช้ไม่ก่อให้เกิดการสร้างงาน ซึ่งปัญหาการว่างงานจะเป็นปัญหาใหญ่ต่อไป

ทั้งนี้ ไม่แน่ใจว่าพลเอกประยุทธ์เข้าใจหรือไม่เรื่องที่ไทยมีศักยภาพในการเติบโตด้านการค้าเป็นอันดับ 8 ไม่ได้หมายความว่าเป็นผลงานของรัฐบาล แต่หมายถึงว่าเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องบริหารประเทศให้ได้ตามศักยภาพ เหมือนบอกว่าประเทศไทยมีศักยภาพที่โตได้ถึงปีละ 5-6% แต่ที่ผ่านมารัฐบาลทำได้เพียงปีละ 2-3% เท่านั้น ซึ่งแปลว่ารัฐบาลสอบตก ทั้งนี้ดูได้จากประเทศที่มีศักยภาพลำดับก่อนหน้าไทยเช่น อันดับ 1 คือโกตติวัวร์ (ไอเวอรี่โคสท์) หรือ อันดับ 3 เคนย่า ที่แทบจะยังไม่พัฒนาเลย แต่อาจมีศักยภาพ และรวมถึง อินเดีย จีน ไอร์แลนด์ เวียดนาม อินโดนิเซีย ที่มีศักยภาพอยู่แล้ว เป็นต้น จึงอยากให้พลเอกประยุทธ์ได้เข้าใจให้ถูกต้อง อย่าได้นำมาโม้ในเรื่องที่ตัวเองอาจจะยังไม่เข้าใจ อีกทั้งอันดับความสามารถแข่งขันของไทยกลับลดลง

การจะพัฒนาได้ตามศักยภาพต้องอยู่ที่วิสัยทัศน์ของผู้นำและการบริหาร รวมถึงการใช้งบประมาณด้วย ซึ่งน่าเป็นห่วงมากเพราะจากงบประมาณที่ผ่ามมา 5 ปี และงบประมาณในปีหน้ารัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณให้กับความมั่นคงเป็นจำนวนมากทั้งๆที่ไทยยังไม่ได้มีศัตรูเลย ซึ่งศัตรูที่แท้จริงคือความยากจน ที่รัฐบาลต้องเร่งแก้ไข แต่งบที่ใช้สำหรับพัฒนาเศรษฐกิจก็ยังถูกนำมาแจกอย่างอีลุ่ยฉุยแฉก ไม่ได้ใช้เพื่อพัฒนาเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้แก่ประเทศ งบกลางปีที่แล้ว 4.68 แสนล้านบาทถูกใช้อย่างไม่มีการตรวจสอบ และงบกลางปีนี้จะมีอีกถึง 5.18 แสนล้านบาท ซึ่งไม่แน่ใจว่าจะนำไปใช้ด้านใดบ้าง เหมือนตีเช็คเปล่าให้กับคนที่ใช้เงินไม่เป็น เพราะถ้าใช้เงินเป็น ประชาชนคงไม่เดือดร้อนขนาดนี้ ถึงขนาดที่มีข่าวการฆ่าตัวตายรายวันเพราะพิษเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังจะมีการแถที่จะให้ รมต. ที่เป็น ส.ส. มาโหวต รับงบประมาณได้ ทั้งๆที่เป็นผลประโยชน์ทับซ้อนโดยตรง เพราะเท่ากับเป็นการอนุมัติเงินให้กับกระทรวงที่ตัวเองกำกับ ซึ่งไม่น่าจะทำได้

ความจริงคือถ้ารัฐบาลยังสร้างความมั่นใจให้เกิดขึ้นไม่ได้ รัฐบาลก็ไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ ประชาชนก็จะยิ่งลำบากและ อดอยากมากขึ้น โดยล่าสุด บีบีซี ได้แปลคำตัดสินคดีจากออสเตรเลียของนายธรรมนัส ซึ่งมีข้อมูลชัดเจนถึงความผิด และการจำคุก แต่พลเอกประยุทธ์ก็ยังนิ่งเฉย นอกจากนี้ นายสุนัย ผาสุก ของฮิวแมนไรต์วอทช์ ได้เปิดเผยว่า มีการคุมตัวผู้สื่อข่าวต่างประเทศกว่า 5 ชม ขู่เนรเทศและไม่รับรองความปลอดภัยหากไม่หยุดเสนอข่าวผู้เห็นต่างกับรัฐบาล และ การดำเนินคดีกับ 7 พรรคฝ่ายค้าน อีกทั้ง การดำเนินคดีเฟกนิวส์แต่กลับไม่จับเสธ ไก่อู ทั้งๆที่มีหลักฐานชัดเจน และมีพยานเป็นถึงรองอธิบดี ในเรื่องใช้สื่อรัฐกระจายเฟกนิวส์ และ เรื่องคอรัปชั่น นอกจากนี้ รมว.คลังที่มีปัญหาการปล่อยกู้ธนาคารรัฐไม่มีแนวคิดอื่น นอกจากชิมช้อปใช้ ซึ่งเป็นวงเงินน้อยมาก แทบไม่มีผลต่อจีดีพีเลย แต่ดูเหมือนจะไม่รู้ตัว เพราะอาจจะคำนวณไม่เป็นเพราะพึ่งบอกว่าจีดีพีจะโตได้ 3.5% แน่แต่ต่อมากลับคำบอกไม่แน่ใจจะถึง 3% ไหม ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ยิ่งทำลายความมั่นใจ

ถ้ารัฐบาลยังสับสน ยังไม่มีหลักในการบริหารเศรษฐกิจ และ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจก็ไม่รู้เรื่อง ปล่อยทำกันไปแบบไร้ทิศทาง เศรษฐกิจไทยจะยิ่งเสื่อมลงเรื่อยๆ และประชาชนจะทนกันไม่ไหวแน่ จึงอยากให้พลเอกประยุทธ์ได้ตั้งหลักให้ดี ถ้ารู้ตัวแล้วว่าบริหารเศรษฐกิจไม่ไหวก็อย่าฝืนและควรเร่งลาออกไป เพื่อให้คนที่มีความรู้ความสามารถมาบริหารเศรษฐกิจแทน ประชาชนจะได้มีความหวังบ้าง