“จตุพร” เปิดใจ 55 ปี อยากเห็นบ้านเมืองดีขึ้น วอนสรรพากรยุติเก็บภาษีเงินบริจาค “สมหวัง”

วันที่ 5 ตุลาคม 2562 ที่ชั้น 5 อิมพีเรียล ลาดพร้าว นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. ได้จัดงานวันคล้ายวันเกิด 5 ตุลาคม พร้อมกับพูดคุยกับพี่น้อง ที่มาร่วมงาน ในหัวข้อ ก้าวสู่ปีที่ 55 อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ว่า ในช่วงชีวิตที่ยากลำบาก ตนมักจะนึกถึงช่วงชีวิตที่ยากลำบากกว่า ด้วยตั้งแต่เด็ก ชีวิตความเป็นอยู่ของตนค่อนข้างยากลำบาก ในช่วงเด็ก ตนอาศัยอยู่อำเภอบ้านนาสาร จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่ง อยู่ในเขตพื้นที่การต่อสู้ระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์และกองทัพไทย ได้ยินเสียงยิงกันทุกวัน ชุดนักเรียนมีชุดเดียว รองเท้าก็ไม่มีใส่ เมื่อโตมาหน่อย พ.ศ. 2518 ก็ได้ย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ กับพระธรรมเมธาภรณ์ หรือ เจ้าคุณระแบบ พระพี่ชาย ที่วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร จากนั้นก็ได้ไปเป็นครูดอยอยู่สามปี ต้องอาศัยในถ้ำ ไม่มีเงินเดือน วันหนี่งตัดสินใจกลับมาเรียนรามคำแหง และได้ร่วมต่อสู้ทางการเมือง ในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ จากนั้นกว่าสิบปี ตนได้เดินทางในภาคประชาชนมาโดยตลอด จนกระทั่งมี แนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ หรือ นปก. และ แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช.

นายจตุพร กล่าวต่อว่า มีอยู่ปีหนึ่ง คำพูดของตนเป็นวาทะแห่งปี คือ “ตนพลัดหลงเข้าไปในดงละคร เพราะทุกอย่างที่ได้ต่อสู้มานั้น ตนจริงทุกเรื่อง แต่ทุกองคาพยพเขาแสดงกันหมด ตนก็คิดว่าเป็นเรื่องจริง แต่สิ่งที่เปลี่ยนไม่ได้คือ ความสูญเสีย ความตายของประชาชน และผลลัพธ์ทางคดีความ ที่เกิดขึ้นมากมาย” ตลอดระยะเวลาสิบปีหลังนี้ พี่น้องเรามีความยากลำบากมาก หลายคนสิ้นเนื้อประดาตัว หลายคนถูกจองจำ พวกเราเองก็อยู่ในห้วงเวลาที่ยากลำบาก ไม่สามารถจะช่วยอะไรใครได้ ไม่ใช่ไม่อยากช่วย อย่างไรก็ตาม ตนน้อมรับชะตากรรมนี้มาโดยตลอด ติดคุกก็ไม่รู้จะติดอีกเมือไหร่ ถูกตัดสิทธิทางการเมือง และสุดท้ายหนีไม่พ้นล้มละลาย เพราะคดีแพ่งคดีแรกก็ตัดสินไปแล้ว และในวันที่ 16 ตุลาคมนี้ ก็จะมีการพิพากษาคดีแพ่งอีกคดีหนึ่ง ซึ่งตนเองก็ไม่ทราบว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ศาลชั้นต้นยก ศาลอุทธรณ์ลง ซึ่งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ได้นำเอาข้อความในวิกิพีเดียมาตัดสิน ทั้งสองคดีแพ่งนี้ไม่มีจำเลยคดีเผาแม้แต่รายเดียว อยู่ในเขตใช้กระสุนจริง ในการควบคุมของ ศอฉ. เกิดขึ้นภายหลังจากแกนนำ มอบตัวแล้ว หลังวันที่ 16 ตุลาคมนี้ ตนก็จะเดินทางไปมอบความช่วยเหลือเท่าที่พอช่วยได้กับพี่น้องชาวจังหวัดอุบลราชธานี จะแจ้งวันอีกครั้งหนึ่ง

นายจตุพร ยังได้พูดถึงกรณี นายสมหวัง อัสราษี อดีตแกนนำ นปช. ได้โพสต์เฟสบุ้ก ในเชิงตัดพ้อสามเกลอ ซึ่งมีนายจตุพร รวมอยู่ด้วย ให้เปิดบัญชีรับบริจาค ทำให้นายสมหวังต้องถูกเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง ส่งผลให้ล้มละลายว่า ตนรู้สึกเห็นใจ เสียใจ และขอโทษที่ทำให้เดือดร้อน เพราะการชุมนุมทางการเมือง นับตั้งแต่เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 พฤษภาคม 2535 การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ การชุมนุมของกลุ่ม กปปส. ก็มีการบริจาคเงินเป็นจำนวนมากให้การชุมนุม กรมสรรพากรไม่เคยเรียกเก็บภาษีแม้แต่เพียงรายเดียว ทั้งนี้ ตนอยากให้เสียงนี้ดังไปถึง อธิบดีกรมสรรพากร รวมถึง นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้ยกเลิกการเรียกเก็บภาษีย้อนหลังกับนายสมหวัง เพราะ เงินบริจาคทางการเมืองเพื่อการชุมนุม เรียกเก็บภาษี และไม่เคยมีการเรียกเก็บภาษีมาก่อน แต่หากทำไม่ได้ก็ขอให้มีมาตรฐานเดียวกันกับ 3 กลุ่มการเมือง เพราะ นปช. ไม่ได้เป็นกลุ่มการเมืองแรกที่เปิดบัญชีบริจาค ก่อนหน้าเรามีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ภายหลังเราก็มี กปปส. ซึ่งตนก็ไม่อยากให้ทั้ง 2 กลุ่มที่เหลือมาเผชิญกับกรณีดังกล่าวด้วย ตนไม่อยากให้ใครเจอกรณีเดียวกับนายสมหวัง แต่ก็อยากให้นายสมหวัง พ้นจากกรณีนี้ เพราะฉะนั้น โปรดยกเลิกคำสั่งนี้เสีย หากไม่ยกเลิกตนจะดำเนินคดีปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพราะพวกคุณไม่ปฏิบัติเช่นเดียวกันกับกลุ่มการเมืองอื่น แต่มันจะไม่มีประโยชน์อะไร เพราะตนเห็นว่า เงินชุมนุมทางการเมือง ไม่ใช่เงินธุรกิจทางการเมือง ไม่ควรมีใครต้องเสียภาษี ตนก็ไม่สบายใจ ที่ทำให้ครอบครัวคุณสมหวัง ต้องเดือดร้อน และเป็นหน้าที่ตนต้องไปจัดการกับกรมสรรพากร หากได้ยินเสียงนี้ จงยุติการเรียกเก็บภาษีเสียเถิด เพราะจะเป็นการสร้างความขัดแย้ง

นายจตุพร กล่าวอีกว่า เราต่างรู้สถานการณ์ของบ้านเมือง ว่าในแผ่นดินนี้ไม่สามารถมีการชุมนุมขนาดใหญ่เช่นเดิมได้อีกแล้ว ทุกฝ่ายต่างตกผลึกร่วมกันหาทางออก วันนี้ปัญหาชาติบ้านเมือง เลยตัวบุคคลไปแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดในปีนี้ เรามีความปราถนาให้แผ่นดิน ประชาชนได้อยู่อย่างเป็นสุข ถ้ามีการซ้ำเติมสถานการณ์บ้านเมือง ประชาชนที่ทุกข์อยู่แล้วจะทุกข์ไปอีก ทุกวันนี้เรายอมรับ รัฐบาลกำลังจะหมดบุญ ฝ่ายค้านบุญไม่ถึง ความทุกข์จึงอยู่กับประชาชน ดังนั้นแต่ละฝ่ายเราจะปรับกระบวนท่ากันอย่างไรเพื่อในการนำพาแก้ไขปัญหาชาติให้ได้ อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ นปช.ในปัจจุบัน ตน ทำหน้าที่ ประธาน นปช.เหมือนเฝ้าศาลา ไม่ให้ร้าง ยังมีคนอยู่ แม้เป้นศาลาคนเศร้าก็ตาม

ในวันที่ก้าวสู่ปีที่ 55 ของชีวิต วันเวลา พลังที่ยังเหลืออยู่ ต้องการให้บ้านเมืองนี้ดีขึ้น แม้ถูกตัดสิทธิทางการเมือง แต่ตำแหน่งหนึ่งที่ไม่สามารถตัดสิทธิตนได้คือ ประชาชน