‘ซุปเปอร์โพล’ ชี้การเมืองไม่นิ่ง กระทบความเชื่อมั่น ส่วนใหญ่ห่วงครึ่งปีแรกรายจ่ายมากกว่ารายได้

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) ร่วมกับสำนักวิจัย UCSI POLL มหาวิทยาลัย UCSI ประเทศมาเลเซีย (www.ucsipoll.org) นำเสนอผลสำรวจภาคสนาม เรื่อง ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคต่อเศรษฐกิจของประเทศ เปรียบเทียบ ไทย-มาเลเซีย จำนวนทั้งสิ้น 1,144 ตัวอย่าง ระหว่าง 1-10 ส.ค. พ.ศ. 2562 ที่ผ่านมา พบว่าส่วนใหญ่หรือร้อยละ 55.6 ระบุเป็นไปได้น้อย ถึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าเข้าบ้าน เช่น ทีวี ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ ในอีก 6 เดือนข้างหน้า ในขณะที่ ร้อยละ 29.9 ยังไม่แน่ใจ และร้อยละ 14.5 ระบุเป็นไปได้มาก ถึงมากที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 75.3 ระบุเป็นไปได้น้อยถึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะซื้อบ้านหลังใหม่หรือรถคันใหม่ในอีก 6 เดือนข้างหน้า ขณะที่ร้อยละ 16.0 ไม่แน่ใจและแค่ร้อยละ 8.7 ระบุเป็นไปได้มากถึงมากที่สุด

ที่น่าเป็นห่วง คือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 84.7 ระบุในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา มีรายจ่ายมากกว่ารายได้ ในขณะที่ร้อยละ 15.3 ระบุมีรายได้มากกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับผลสำรวจในปี 2560 พบว่า คนที่มีรายจ่ายมากกว่ารายได้เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 67.1 มาอยู่ที่ร้อยละ 84.7 ดังกล่าว นอกจากนี้ จำนวนมากหรือร้อยละ 43.5 รู้สึกมั่นคงน้อย ถึงไม่มั่นคงเลยในอาชีพ การงาน ในขณะที่ร้อยละ 39.1 ไม่แน่ใจ และร้อยละ 17.4 รู้สึกมั่นคงมาก ถึงมากที่สุด ที่น่าพิจารณาคือ ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคต่อเศรษฐกิจของประเทศ เปรียบเทียบ ไทยกับมาเลเซีย พบว่าผู้บริโภคคนไทยครึ่งหนึ่งหรือร้อยละ 50.1 และคนมาเลเซียร้อยละ 26.9 มีความเชื่อมั่นแย่ลงต่อเศรษฐกิจของประเทศในอีก 12 เดือนข้างหน้า ในขณะที่คนไทยเพียงร้อยละ 6.5 เชื่อมั่นดีขึ้นน้อยกว่าคนมาเลเซียที่เชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจของมาเลเซียสูงถึงร้อยละ 37.6 ในอีก 12 เดือนข้างหน้า

ผอ.ซูเปอร์โพลกล่าวว่า การเมืองไทยหลังการเลือกตั้ง “ไม่นิ่ง” กำลังส่งผลกระทบทางลบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคอย่างหนัก เปรียบเทียบกับการเมืองมาเลเซียที่นิ่งมากกว่า ส่งผลให้ประชาชนชาวมาเลเซียเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจของประเทศมากกว่าคนไทย ทางออกคือ ทำให้ประชาชนมีงานทำที่มั่นคง และทำภาพอนาคตทางการเมืองไทยให้ชัดว่าจะเกิดอะไรขึ้นในระยะสั้นและระยะยาว รัฐบาลจะอยู่ต่อไปได้นานแค่ไหน ทั้งหมดนี้ผู้บริหารประเทศจะทราบสถานการณ์ได้ดีและมองเห็นอนาคตข้างหน้าได้ดีกว่า อยู่ที่ว่าจะทำให้สาธารณชนสนับสนุนและเดินไปกับคณะผู้บริหารประเทศได้หรือไม่ จึงเสนอให้ใช้ยุทธศาสตร์เสริมสร้างการรับรู้ ความเข้าใจ ความเชื่อมั่นและการสนับสนุนของสาธารณชนต่อการขับเคลื่อนประเทศเพื่อร่วมกันสร้างอนาคต (Shape the Future) ของประเทศให้เจริญมั่นคง