ติวเข้มส.ว.อภิปรายนโยบายรบ. จ่อขอปรับเวลาเพิ่ม หวั่นส.ส.ประท้วงกันจนหมดเวลา

ติวเข้มส.ว.อภิปรายนโยบายรบ. ติง วิปรบ.ให้เวลาน้อย จ่อขอปรับเพิ่ม หวั่นส.ส.ประท้วงกันจนหมดเวลา

เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม ที่อาคารสุขประพฤติ ถ.ประชาชื่น สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา จัดสัมมนาสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) เพื่อเตรียมความพร้อมต่อการแถลงนโยบายของรัฐบาล ชุดที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมต่อรัฐสภา วันที่ 25 – 26 กรกฏาคมนี้ โดยนายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ ส.ว. กล่าวให้ข้อสังเกตตอนหนึ่งด้วยว่า ตนไม่มั่นใจว่าการจัดสรรเวลาให้อภิปราย 2 วันจะเพียงพอหรือไม่ เพราะเวลาที่กำหนดและรับทราบ ไม่รวมเวลาที่ส.ส.แต่ละฝ่ายจะต้องประท้วง รวมถึงไม่นับรวมเวลาที่นายกฯนำเสนอนโยบาย และผู้นำฝ่ายค้านอภิปรายเปิดและอภิปรายปิด จึงกังวลว่า เมื่อเวลาใกล้หมด ส.ว.ที่อยู่ในลำดับอาจไม่ได้สิทธิอภิปราย

ขณะที่ นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ ส.ว. กล่าวว่า หากเทียบเกณฑ์อภิปรายของส.ว.ในการอภิปรายรายงานความคืบหน้าการดำเนินงานตามแผนการปฏิรูปประเทศ เมื่อวันที่ 8 กรกฏาคม มี ส.ว. อภิปรายทั้งสิ้น 45 คน และได้เวลาคนละ 8 นาที ทำให้มีเวลาอภิปรายรวมทั้งหมด เกือบ 6 ชั่วโมง ดังนั้น หากยึดหลักการดังกล่าวในการอภิปรายนโยบายรัฐบาลต้องได้เวลาเกินกว่า 5 ชั่วโมง อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 23 กรกฏาคม ที่นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา จะเรียกตัวแทนของ 3 ฝ่าย คือ วิปฝ่ายค้าน วิปฝ่ายรัฐบาล และ ส.ว.หารือต้องขอให้ทบทวนการจัดสรรเวลาให้เพียงพอต่อการอภิปรายของส.ว.ด้วย เพราะตนกังวลเรื่องการประท้วง

“ผมอ่านข่าวจากสื่อมวลชน ว่ารัฐบาลตั้งองครักษ์พิทักษ์รัฐมนตรี ประมาณ 20 – 30 คน เพื่อตอบโต้ฝ่ายค้านที่จะอภิปรายตัวบุคคล โดยหลักการและกฎหมายการแถลงนโยบายรัฐบาลไม่ใช่การอภิปรายไม่ไว้วางใจตัวบุคคล แต่เชื่อว่าฝ่ายค้านจะอดไม่ได้ ดังนั้นสิ่งที่เป็นห่วงคือจะใช้เวลามาก ต่อให้จัดประชุม 3 วันอาจไม่พอ อย่างไรก็ตามผมเชื่อว่าในวันที่ ‪26 กรกฎาคม‬ การอภิปรายต้องจบภายในเวลาเที่ยงคืน” นพ.เจตน์ กล่าว

นพ.เจตน์ กล่าวด้วยว่า ส.ว. ไม่มีหน้าที่อภิปรายสนับสนุนหรือปกป้องตัวบุคคล เว้นแต่อภิปรายถึงผลงานที่ผ่านมาว่าทำได้ดีอย่างไร แต่ไม่สามารถอภิปรายว่าที่ผ่านมาทำไม่ดี เนื่องจากเป็นหน้าที่ของ ส.ส.พรรคฝ่ายค้าน และ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลที่จะดำเนินการ ดังนั้นส.ว.ควรเน้นนโยบายในเชิงให้ข้อเสนอแนะแบบผู้ใหญ่ โดยพิจารณาจากนโยบายของรัฐบาลใน 4 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นสัญญาว่าจะทำ ว่าเหมาะสมหรือไม่ หรือ ขาดอะไรบ้าง ทั้งนี้ ตนเชื่อว่าเมื่อวางหลักการดังกล่าวจะทำให้การประชุมกลับมาพิจารณาเรื่องนโยบายและลดกระแสการอภิปรายรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลใด