ดัชนีอุตฯสูงสุดรอบ6ปี มั่นใจรบ.ใหม่ดันลงทุน-ศก.ดีขึ้นแน่นอน

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลสำรวจความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ว่าดัชนีฯ อยู่ระดับ 95.6 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 93.8 ในเดือนมกราคม 2562 ค่าดัชนีฯ สูงสุดในรอบ 72 เดือน หรือ 6 ปีนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2556 ซึ่งมาจากปัจจัยหลักจากอุปสงค์ในประเทศเป็นสำคัญ สะท้อนจากความเชื่อมั่นของอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร ก่อสร้าง ยานยนต์ โดยได้แรงหนุนจากโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ รวมทั้งกิจกรรมการหาเสียงเลือกตั้งซึ่งส่งผลดีต่อการใช้จ่ายในประเทศโดยเฉพาะสิ่งพิมพ์ ยานยนต์ อาหาร ฯลฯ

นายสุพันธุ์กล่าวว่า หากเลือกตั้งและการจัดตั้งรัฐบาลดำเนินไปด้วยความสงบเรียบร้อยแล้วการลงทุนและเศรษฐกิจภายในประเทศจะดีขึ้นแน่นอน โดยส่วนของภาคเอกชนมองว่าหน้าตาของรัฐบาลที่จะเหมือนในปัจจุบันคงเป็นไปได้ยากเพราะจะต้องมีนักการเมืองเข้ามาเพิ่มเติมแต่นโยบายหลักๆจะคงเดิมอาทิ การพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี) บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และสิ่งที่เอกชนต้องการให้รัฐบาลใหม่เร่งดำเนินการคือการดูแลความเป็นอยู่ของประชาชนฐานรากให้มีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น ยกระดับราคาสินค้าเกษตร และลดความเหลื่อมล้ำ ส่วนในแง่อุตสาหกรรมต้องการให้รัฐมองเอกชนเป็นกำลังหลักในการทำงานร่วมกับรัฐบาล

“ภายในสัปดาห์นี้ส.อ.ท.จะจัดส่งสมุดปกขาวไปให้กับพรรคการเมืองทุกพรรคเพื่อนำไปพิจารณาประกอบการดำเนินงานหากมีการจัดตั้งรัฐบาลซึ่งจะเป็นยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมในอนาคตที่จะยกระดับรายได้ประเทศ ที่ผ่านมาเอกชนเองได้ทำงานร่วมกับภาครัฐและได้นำสิ่งดีๆเข้ามาเช่น การยกเลิกต่ออายุใบร.ง.4 ลดภาษีนิติบุคคล”นายสุพันธุ์กล่าว

นายสุพันธุ์กล่าวว่า ผู้ประกอบการยังคงมีความกังวลต่อความผันผวนของค่าเงินบาททำให้กระทบต่อการวางแผนและการกำหนดราคา รวมทั้งการส่งออกที่มีแนวโน้มชะลอตัว ตามภาวะเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าหลัก สะท้อนจากค่าดัชนีความเชื่อมั่นฯของยอดคำสั่งซื้อและยอดขายในต่างประเทศที่ปรับตัวลดลง

นายสุพันธุ์กล่าวว่า กรณีที่กรมสรรพสมิตเตรียมส่งเสริมการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า(อีวี) โดยยกเว้นภาษีฯ 3 ปีหรือคิดเป็น 0% เป็นมาตรการชั่วคราวที่ให้เพิ่มจากการส่งเสริมของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) เพื่อกระตุ้นให้ผลิตทันทีภายในปี 2564 นั้นแม้ว่าภาษีจะเป็น 0% เห็นว่ายังไม่ได้จูงใจเนื่องจากราคารถยนต์เองก็ยังคงอยู่ในระดับแพงตลาดจึงยังไม่เอื้อนัก ประกอบกับสถานีชาร์จแบตเตอรี่ก็ยังมีไม่มากพอ รัฐควรบังคับให้รถยนต์โดยสารสาธารณะทั้งหมดปรับไปสู่โหมดอีวีก่อนนำร่องเพื่อสร้างตลาดและพัฒนาชิ้นส่วนในประเทศ ขณะที่รถยนต์ส่วนบุคคลเห็นว่าควรกำหนดว่าหากซื้อรถอีวีที่เป็นการผลิตในประเทศสามารถนำมามาหักภาษีได้ ไม่เห็นด้วยหากจะนำเข้ารถอีวีมาเพราะจะไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรกับประเทศ

มติชนออนไลน์