“ณัฐวุฒิ” อัด “สนธิรัตน์” พูดพาดพิงความขัดแย้ง หวังสร้างความชอบธรรม

ประธานทีมหาเสียง “ไทยรักษาชาติ” อัด เลขาฯ พปชร. ปราศรัยพาดพิงเหตุความขัดแย้ง หวังยกพรรคตัวเองมีความชอบธรรม ทั้งที่ต้องชี้แจงที่มาเงินบริจาคโต๊ะจีน 650 ล้าน แนะควรใช้ชื่อ พรรคพลังประชารัฐบาล เหตุอำนาจรัฐเอื้อทุกย่างก้าว และไม่แปลกใจหากสนับสนุน “ประยุทธ์” เป็นนายกฯ

วันที่ 23 ธันวาคม 2561 นายณัฐวุฒิ ใสเกื้อ ประธานคณะกรรมการรณรงค์หาเสียงเล่ือกตั้งของพรรคไทยรักษาชาติได้กล่าวระหว่างลงพื้นที่หาเสียงร่วมกับแกนนำพรรคที่จังหวัดสมุทรสงคราม โดยได้ให้ความเห็นถึงกรณีการปราศรัยของนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ที่ศูนย์ประสานงานพรรคเขตหนองจอกเมื่อวานนี้ ที่ระบุถึงความขัดแย้งในอดีตโดยเฉพาะเหตุระเบิดซึ่งทำให้พรรคพลังประชารัฐถือกำเนิดขึ้น และข่าวคลิปไวรัลชวนสมัครสมาชิกพรรคพลังประชารัฐแลกกับบัตรคนจนที่กำลังเป็นที่วิพาษ์วิจารณ์ในขณะนี้

นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ที่จริงคุณสนธิรัตน์ และพรรคพลังประชารัฐ มีหลายเรื่องที่ควรพูดเช่น รายรับที่มาจากการระดมทุนมาจากไหน ส่วนราชการอันใดเกี่ยวข้องอย่างไรหรือไม่ หรือว่าหลังจากนั้น จะมีกติกาอะไรออกมาเพื่อชิงความเปรียบจากพรรคการเมืองอื่นในสนามเลือกตั้ง แต่คุณสนธิรัตน์ไม่ได้พูดเรื่องนี้ กลับไปพูดเรื่อง ความขัดแย้งทางการเมืองที่ผ่านมา ซึ่งมีการพาดพิงกลุ่มต่างๆทางการเมืองทั้งที่ ตลอดช่วงเวลาหลังปลดล็อกทางการเมืองก็ไม่มีใครที่หันกลับไปพูดถึงเรื่องเหล่านั้นอีก เป็นความพยายามเอาภาพความขัดแย้งในอดีต เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับตัวเองว่าพรรคพลังประชารัฐ อยู่นอกวงความขัดแย้งทั้งที่แท้จริงแล้ว ต้องมองภาพให้ชัดว่า พรรคพลังประชารัฐ เป็นพรรคการเมืองที่อยู่ตรงกลางสถานการณ์ความขัดแย้ง เป็นพรรคที่น่าจะได้ประโยชน์สูงสุดจากความขัดแย้งกว่า 10 ปีที่ผ่านมา ความขัดแย้งทางการเมืองที่ผ่านมานี่แหละ ที่ให้กำเนิดพรรคพลังประชารัฐผ่านอำนาจของคณะรัฐประหารหรือไม่ เรื่องนี้ผมเชื่อว่าประชาชนมีคำตอบในใจ แล้วกลุ่มผู้มีอำนาจในปัจจุบันมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างสำคัญกับความขัดแย้งที่ผ่านมาหรือไม่ ผมว่าประชาชนทราบดี ดังนั้น สิ่งที่ควรทำก็คือ พรรคพลังประชารัฐต้องลดการพาดพิงโจมตี สร้างเงื่อนไขความขัดแย้งใดๆในใจประชาชนขึ้นมาอีก เพราะตัวเองเกิดมาจากความขัดแย้ง และหลายคนยังตั้งคำถามด้วยซ้ำไป ว่าผู้มีอำนาจซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดพรรคพลังประชารัฐ มีส่วนสำคัญในการทำให้ความขัดแย้งบานปลายกลายเป็นสถานการณ์รัฐประหารหรือไม่

“ในส่วนของพรรคไทยรักษาชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง เราจะใช้การเลือกตั้งอย่างสร้างสรรค์ เราจะเดินหน้าด้วยนโยบายที่เป็นรูปธรรมในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ปากท้อง ให้พี่น้องประชาชน เราจะอธิบายถึงการใช้เทคโนโลยีในการยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน เราไม่มีแนวทางในการกล่าวหา ใส่ร้าย หรือโจมตีทางการเมือง เราไม่มีแนวทางสร้างความขัดแย้งใดๆขึ้นอีก นอกจากใช้ประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือสำคัญในการแก้ไขความขัดแย้งและนำพาประเทศไทยไปข้างหน้า” นายณัฐวุฒิ กล่าว

แนะควรใช้ชื่อ “พรรคพลังประชารัฐบาล”

เมื่อสื่อถามถึงคลิปที่ระบุว่ามีการสมัครสมาชิกพรรคพลังประชารัฐแลกกับบัตรคนจนที่ถูกเผยแพร่ไปวงกว้างนั้น นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ผมมองเหมือนที่ประชาชนเห็นตลอดว่า ที่จริงพรรคพลังประชารัฐ อาจยังไม่ใช่ชื่อเต็มของพรรคการเมืองนี้ พรรคการเมืองนี้น่าจะมีชื่อเต็มว่า “พรรคพลังประชารัฐบาล” หรือไม่ เพราะว่า องคาพยพต่างๆ อำนาจรัฐก็ดูเหมือนอำนวยความสะดวกและเต็มใจในการขับเคลื่อนทางการเมืองของพรรคพลังประชารัฐในหลายย่างก้าว แต่ว่าโดยส่วนตัวเห็นว่า ยิ่งทำแบบนี้ให้ชัด ยิ่งดี ประชาชนจะได้ตัดสินใจง่าย ผมไม่เคยเชื่อว่าการใช้อำนาจรัฐเอื้อประโยชน์ให้พรรคการเมืองของตัวเองจะทำให้พรรคการเมืองนั้นประสบความสำเร็จ ตรงกันข้าม ประชาชนจะให้บทเรียนอย่างเจ็บปวดกับพรรคการเมืองเหล่านั้น หลายยุคหลายสมัยก็เป็นแบบนี้

อนาคตประเทศ “ประชาธิปไตย” หรือ “เผด็จการ”

นอกจากนี้ เมื่อถามถึงความชัดเจนที่พรรคพลังประชารัฐเสนอพล.อ.ประยุทธ์ เป็นแคนดิเดตนายกฯนั้น นายณัฐวุฒิกล่าวอีกว่า เรื่องนี้น่าจะชัดเจนตั้งนานแล้ว พรรคพลังประชารัฐไม่ต้องบอก ประชาชนจะบอกต่อไปกันทั่วๆประเทศแล้วว่าพล.อ.ประยุทธ์ จะถูกเสนอช่ื่อว่าที่นายกฯสถานการณ์ตอนนี้ไม่มีอะไรคลุมเครือ ทุกอย่างโปร่งใสต่อหน้าประชาชนแล้ว ก็เป็นหนทางเลือกเพียง 2 ทางสำหรับอนาคตประเทศ คือประชาธิปไตย หรือ เผด็จการ ถ้าพี่น้องประชาชนเห็นว่าตลอดเวลา 5 ปีที่ผ่านมา อยู่ดีกินดีกับอำนาจนอกระบบเช่นนี้ ก็คงจะสนับสนุนให้มีการสืบทอดอำนาจกันต่อไป แต่ถ้าประชาชนมีความทุกข์แสนสาหัส กับอำนาจปัจจุบัน ทางเดียวเท่านั้น คือ เลือกพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย และนำพาบ้านเมืองออกจากวังวนของอำนาจแบบนี้