รองโฆษกอัยการเเจงเเม่น้องเกด คดี 6ศพวัดปทุมฯ 8 ปีไม่ถึงศาล ดีเอสไอไม่ส่งสำนวน

“ธรัมพ์”รองโฆษกอัยการเเจง “เเม่น้องเกด” ร้องคดี 6ศพวัดปทุมฯ 8 ปีไม่ถึงศาล ยันดีเอสไอยังไม่ส่งสำนวนมา อัยการคดีพิเศษเผยสั่งเร่งสำนวนเเล้ว เเม่น้องเกดลั่นเตรียมฟ้องเอาผิดเจ้าหน้าที่คดีล่าช้า หากประเทศได้รัฐบาลเลือกตั้ง อาจฟ้องศาลเองให้ฉุกคิดคดีนี้จะพาใครเดือดร้อนเลยไม่คืบ

เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม ที่ห้องประชุม 100 ปี สำนักงานอัยการสูงสุด ถนนรัชดาภิเษก นางพะเยาว์ เเละนายณัฐภัทร อัคฮาด เเม่เเละพี่ชายของ น.ส. กมลเกด อัคฮาด หรือ น้องเกด พยาบาลอาสาที่ถูกยิงเสียชีวิต 1ใน6ศพในวัดปทุมวนาราม จากเหตุการณ์การชุมนุม นปช.ปี 2553 ได้ยื่นหนังสือติดตามคดีถึงนายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ อธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ ถึงความคืบหน้าการดำเนินคดีภายหลังศาลมีคำสั่งไต่สวนชันสูตรพลิกศพบุตรสาวตั้งเเต่ปี2556 โดยมีนายธรัมพ์ ชาลีจันทร์ รองโฆษกอสส.เข้ารับหนังสือเเละร่วมพูดคุย

นางพะเยาว์ กล่าวว่า ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองที่มายื่นหนังสือทวงถามคดีเนื่องจากทราบว่าคดีการเสียชีวิตของบุตรสาวนั้นอยู่ในการพิจารณาของพนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษ เนื่องจากศาลได้มีคำสั่งไต่สวนชันสูตรพลิกศพมาตั้งเเต่ปี2556 เเล้ว เเต่กลับรู้สึกว่าคดีความมีความล่าช้ามานานเกินไป ดั่งคำที่ว่าความยุติธรรมที่ล่าช้าคือความอยุติธรรม ทำให้ตนต้องดิ้นรนมาเรื่องจากทราบว่าคดีมาอยู่ในมืออัยการเเล้ว เเต่กลับยังไม่มีการยื่นฟ้องต่อศาล อีกทั้งยังมีข่าวปรากฎตามสื่อมวลชนว่าในสำนวนที่มีคนเจ็บได้มีการถูกทำให้เป็นสำนวนมุมดำหรือยุติการสอบสวนไปเเล้ว เเละข่าวยังระบุอีกว่าในสำนวนที่มีคนเสียชีวิตก็จะถูกทำให้เป็นสำนวนมุมดำเช่นกัน ตนเป็นเเม่ของลูกที่ถูกยิงในวัดที่เป็นเขตอภัยทาน เเละศาลได้มีคำสั่งชี้ชัดไปเเล้วถึงสาเหตุการตายเราจึงสงสัยว่าอัยการมีอิสระในการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่หรือถูกผู้มีอำนาจเเละนายพลเข้าเเทรกเเซงให้ยุติการสอบสวน วันนี้ตนจึงมาขอความชัดเจนในเรื่องนี้

นายธรัมพ์ กล่าวว่าทางสำนักงานอัยการสูงสุดโดยสำนักงานคดีพิเศษได้มีการเเบ่งคดีสลายการชุมนุมเป็น3กลุ่มคร่าวๆ ซึ่งข้อมูลอาจจะตรงหรือไม่ตรงกับของดีเอสไอที่ปรากฎตามสื่อมวลชนเมื่อวานนี้ คือ1กลุ่มที่ได้มีการยื่นไต่สวนชันสูตรพลิกศพที่ศาลไปเเล้วเเละศาลได้ชี้เหตุการตายเเล้ว 2.กลุ่มที่ยังอยู่ระหว่างการสอบสวนอยู่ของกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ เเละกลุ่มที่3คือกลุ่มที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น กว่า2,000ราย ส่วนที่ นางพะเยาว์ระบุว่าสำนวนคดี ที่มีการไต่สวนชันสูตรพลิกศพซึ่งรวมสำนวน 6 ศพวัดปทุมฯอยู่ในมืออัยการนั้น ข้อเท็จจริง นั้นสำนวนเหล่านี้ทางดีเอสไอเคยส่งมายังพนักงานอัยการเเล้วจริง เเละพนักงานอัยการก็ได้ยื่นคำร้องขอไต่สวนชันสูตรพลิกศพจนศาลมีคำสั่งชี้สาเหตุการตายไปหลายคดี ซึ่งในคดีที่ศาลมีคำสั่งว่าการกระทำให้เสียชีวิตเกิดจากฝั่งเจ้าหน้าที่ ซึ่งรวมสำนวน6ศพวัดปทุมฯสำนวนจะถูกส่งกลับไปยังกรมสอบสวนคดีพิเศษ เเละเท่าที่เราตรวจสอบพบว่าสำนวนดังกล่าวในปัจจุบันยังอยู่ที่ดีเอสไอ ซึ่งยังดำเนินการอยู่เเละยังไม่ได้ส่งกลับมาอัยการในรูปเเบบไหนไม่ว่าจะเป็นเรื่องสำนวนมุมเำหรือรูปเเบบปรกติ

นางพะเยาว์ถามย้ำว่าหากสำนวนยังไม่ส่งมาอัยการเเปลว่าอยู่ที่ดีเอสไอเเละตนต้องไปที่ดีเอสไอ ใช่หรือไม่ อัยการสามารถเร่งรัดได้หรือไม่

นายธรัมพ์ กล่าวว่า ใช่ ซึ่งทางสำนักงานอัยการก็ได้มีการเร่งรัด โดยเราจะประสานไปทางดีเอสไออยู่ เเละจะประสานไปอีกครั้ง
ส่วนที่การระบุว่ามีการทำเป็นสำนวนมุมดำนั้น ทางอัยการยังไม่เห็นเเละทราบเรื่องดังกล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่านอกจากสำนวน6ศพวัดปทุมฯสำนวนไต่สวนชันสูตรศพอื่นๆที่ศาลมีคำสั่งไปเเล้วอย่างคดี นายพัน คำกอง ที่ศาลมีคำสั่งเป็นคดีเเรกมีการทำสำนวนสอบสวนส่งมายังอัยการคดีพิเศษเเล้วหรือไม่

นายธรัมพ์ กล่าวว่า เข้าใจว่าของนายพันคำกอง ยังมาไม่ถึงเเต่เนื่องจากทางสำนักงานอัยการ ยื่นไต่สวนชันสูตรพลิกศพเป็นจำนวนมาก บางส่วนอาจจะมีข้อมูลไม่ครบ จึงอาจจะมีสำนวนบางส่วนส่งมายังอัยการบ้างเเล้ว ต้องไปตรวจสอบอย่างละเอียดอีก ส่วนสาเหตุที่ดีเอสไอยังไม่ส่งสำนวนนายพัน ก็อาจจะมีประเด็นที่ดีเอสไอต้องไปสืบหาสาเหตุการตายให้ละเอียดเช่นว่าศาลชี้ว่าเป็นฝีมือเจ้าหน้าที่รัฐก็ไปสืบว่าใครเป็นผู้ลงมือ

ถามต่อว่า ที่ดีเอสไอได้เเถลงว่าทางอัยการได้เคยมีความเห็นว่าคดีการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่รัฐเป็นกลุ่มเดียวกับที่ศาลฎีกาเคยชี้ว่า คดีการสั่งการของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เเละนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นอำนาจ ปปช. พนักงานอัยการเลยสั่งให้ดีเอสไอนำสนวนการปฏบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ส่งไปยัง ปปช.

นาย ธรัมพ์ กล่าวว่าคดีนายอภิสิทธิ์ เเละนายสุเทพ ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นเรื่องเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่เป็นอำนาจ ปปช.ดำเนินการ ก็ส่งไป โดยที่คดียังไม่ได้ชี้ว่าใครผิดใครถูก ส่วนหากเป็นสำนวนที่ดีเอสไอได้สอบสวนเเละมีการกล่าวหาเจ้าหน้าที่ของรัฐเเละส่งมาอัยการ ทางอัยการก็จะต้องมีการพิจารณาก่อนว่าจะมีคำสั่งหรือดำเนินการอย่างไร ว่าจะส่งฟ้องศาลหรือเป็นอำนาจ ปปช.ซึ่งตนก็ไม่ทราบว่าทางดีเอสไอขณะนี้มีการดำเนินการในส่วนของเจ้าหน้าที่รัฐอย่างไร ทราบเเต่สำนวนของที่ชี้ตัวได้คือนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เเละนายสุเทพ ที่ศาลบอกว่าเป็นอำนาจ ปปช.

ต่อมาภายหลัง นางพะเยาว์ ให้สัมภาษณ์ว่า กรณีนี้เหมือนเป็นการโยนกันไปโยนกันมา อัยการบอกทางดีเอสไอยังไม่ได้ส่งมา วันนี้ที่ตนมาหมดเวลาของการร้องขอแล้ว เพราะฉะนั้นจะไปปรึกษาทนายความว่าจะดำเนินการฟ้องร้องกับเจ้าหน้าที่สำนักงานอัยการและดีเอสไอที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการดองคดีทั้งหมด ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 เขาต้องดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม ไม่ใช่นิ่งเฉย ถึงตนจะรู้ว่าตอนนี้ดีเอสไอไม่เหมือนเก่า เจ้าหน้าที่สอบสวนชุดเดิมที่เคยสอบสวนตั้งแต่ปี 2553 ก็ถูกย้ายออกหมดตั้งแต่ที่มีการรัฐประหาร ตอนนี้เขากุมอำนาจหมด คดีที่ควรจะเป็นไปก็ถูกกักดองไว้ พูดตลอดเวลาเรื่องกระบวนการยุติธรรม เรื่องกฎหมาย ก็ถึงเวลาที่ตนจะใช้กฎหมายจัดการบ้าง

เมื่อถามว่าจะฟ้องคดีต่อศาลเองหรือไม่ นางพะเยาว์ กล่าวว่า ถ้าเป็นไปได้จะดูรูปแบบของกระบวนการยุติธรรม การฟ้องเองต้องรอให้มีรัฐบาลจากการเลือกตั้งก่อน คิดว่าความจริงหลักฐานมีเยอะมาก แต่ว่าหลักฐานทุกอย่างถูกบังคับให้ปิดปากเงียบ เอกสารทุกอย่างถูกบังคับให้อยู่ในลิ้นชักปิดล็อกกุญแจ แต่คิดว่าถ้าคดีโผล่ขึ้นมาตอนนี้ใครจะเดือดร้อน ข้อมูลที่ศาลให้มาทุกอย่างชัดเจนหมด ระบุหน่วยงาน แค่ไม่ได้ระบุชื่อใครยิง

ถามว่านายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ก็ได้สอบถามอัยการและดีเอสไอในประเด็นเดียวกันนี้ มีการปรึกษากันหรือไม่ นางพะเยาว์ กล่าวว่า ไม่ เป็นคนละส่วนต่างคนต่างทำดีกว่า ตนสู้มา 8 ปี เดินอยู่แค่นี้ บอกเลยว่าคดีปี 2553 เป็นคดีที่มีคนตายมากที่สุด ตนเรียกว่าพฤษภาเลือด ที่ออกมาสู้เองเพราะความเจ็บปวดที่ได้รับจากทุกฝ่ายที่ได้กระทำกับเรา การหาความจริงขึ้นมาเป็นผลดีที่สุดกับทุกฝ่าย ไม่ต้องมาใช้คำว่าชายชุดดำ คนนั้นคนนี้ก่อการร้าย จะได้เอาความจริงขึ้นมา

ขณะที่นายณัทพัช อัคฮาด น้องชายของ น.ส.กมนเกด กล่าวเสริมว่า กองทัพก็พูดตลอดคนที่ตายเป็นฝีมือชายชุดดำ ฉะนั้นกองทัพควรมาร่วมมือกันหาทางออกเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด ว่าตกลงใครทำให้ตาย เพราะทหารก็เสียชีวิตเหมือนกัน ไม่มีใครควรตายในเหตุการณ์นี้ ถ้าทหารจริงใจที่จะหาคำตอบก็ควรจะร่วม ไม่ใช่ดึงให้ล่าช้าขนาดนี้ ส่วนประเด็นที่เราร้องให้กระทรวงกลาโหมสอบนายพลลึกลับที่เข้ามาแทรกแซงนั้น ทราบว่าสำนักนายกฯ มีหนังสือว่าเรื่องนี้กระทรวงกลาโหมจะตั้งคณะกรรมการค้นหาบุคคลดังกล่าว ถ้าหาตัวไม่ได้ตนก็จะฟ้องกระทรวงกลาโหมอีกตามมาตรา 157 เช่นกัน

มติชนออนไลน์