2นักดำน้ำออสซี่ได้เอกสิทธิ์การทูตหากช่วย13หมูป่าล้มเหลว ยันให้ยาคลายเครียดป้องกันเด็กตื่นตระหนก

เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม สถานีโทรทัศน์เอบีซี ของออสเตรเลีย รายงานว่า 2 นักดำน้ำชาวออสเตรเลียที่เข้าร่วมในปฏิบัติการช่วย 13 หมูป่า ออกจากถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน จ.เชียงราย ได้รับเอกสิทธิ์คุ้มครองทางการทูตในการปฏิบัติหน้าที่ ในกรณีที่การช่วยเหลือล้มเหลว

โดย 2 ดำน้ำดังกล่าวคือนายแพทย์ริชาร์ด แฮร์ริส วิสัญญีแพทย์ และนายเครก ชาลเลน นักดำน้ำคู่หู ซึ่งทั้งคู่เป็นผู้เชี่ยวชาญการดำน้ำในถ้ำ มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในปฏิบัติการนำ 13 ชีวิตออกจากถ้ำ ซึ่งรายงานระบุว่า การเข้าร่วมในปฏิบัติการครั้งนี้มีขึ้นหลังการเจรจาระหว่างทางการออสเตรเลียกับทางการไทย ในการทำเอกสิทธิ์คุ้มครองทางการทูตเพื่อคุ้มครองคนทั้ง 2 ในกรณีที่อาจจะถูกดำเนินการฟ้องร้องใดๆ หาเกิดการผิดพลาดขึ้นระหว่างการช่วยเหลือ

โดยนายชาลเลน เปิดเผยกับสื่อออสเตรเลียหลังเดินทางกลับถึงประเทศออสเตรเลียว่า ปฏิบัติการครั้งนี้เป็นเรื่องของชีวิตและความตาย และความเชี่ยวชาญในการดำน้ำในถ้ำก็เป็นเรื่องที่ไม่แน่นอนว่าจะสามารถช่วยชีวิตเด็กชายทั้ง 12 คน กับโค้ชได้หรือไม่

นายชาลเลน เปิดเผยกับซันเดย์ไทม์ส ว่า “มันไม่ใช่เรื่องอันตรายสำหรับเรา แต่ก็ไม่สามารถบอกได้ว่ามันจะอันตรายแค่ไหนสำหรับเด็กๆ” และว่า เด็กๆถูกทำให้สงบ เนื่องจากเด็กๆไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นข้างหน้า เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการตื่นตระหนกขึ้น ในขณะที่นักดำน้ำนำตัวเด็กๆออกมาผ่านตามช่องแคบต่างๆ

“พวกเด็กๆได้รับยา เพราะเราไม่สามารถให้เด็กอยู่ในอาการตื่นตระหนกได้ในนั้น พวกเขาอาจจะฆ่าตัวเขาตายเอง หรืออาจจะฆ่าเจ้าหน้าที่กู้ภัยด้วย” นายชาลเลนกล่าว และยืนยันว่า เด็กๆ ได้รับยาคลายเครียดเพื่อให้อยู่ในอาการสงบ เพราะอาจจะเกิดเหตุเลวร้ายที่สุดได้หากเด็กๆเกิดอาการตื่นตระหนก

นายชาลเลนเปิดเผยด้วยว่า ไเด็กๆมีความสุขมากที่ได้เจอกับพวกเรา และคิดไม่ออกเลยว่าพวกเขาอยู่กันอย่างไร 9 วันโดยไม่มีการติดต่อสื่อสารใดๆ

ด้านนายเจสัน มัลลินสัน นักดำน้ำชาวอังกฤษ เปิดเผยกับเอบีซีว่า การผ่านพื้นที่ที่เป็นอุโมงค์ที่แคบ และมืด เป็นความท้าทายอย่างยิ่ง เพราะคุณจะรู้อีกทีก็ต่อเมื่อหัวของคุณไปชนเข้ากับกำแพง

“ผมเชื่อมั่้นว่าจะนำเอาเด็กออกมาได้ แต่ไม่เชื่อมั่น 100 เปอร์เซ็นต์ว่าเด็กๆจะรอดออกมาหรือไม่ เพราะหาเราทำให้เด็กชนเข้ากับหินแรงเกินไป แล้วทำให้หน้ากากออกซิเจนที่ปิดใบหน้าอยู่หลุดออก น้ำก็จะเข้าไปในหน้าของเด็ก เด็กก็อาจจะเสียชีวิต และเราก็ไม่ได้มีอุปกรณ์ศำรองเอาไว้