บทความพิเศษ : ‘ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์’ เรียนรู้คุก (3) เริ่มวิบากกรรม 2 ปีในคุก

ตอน 1 2 

ในระหว่างที่ผมคิดว่าจะทำอย่างไรกับที่ดินบาร์เบียร์นี้ดี ซากปรักหักพัง รั้วแท่นคอนกรีตเสริมด้วยลวดหนามล้อมรอบที่ยังคงอยู่

ในที่สุดจึงตัดสินใจพัฒนา แต่ไม่ใช่เพื่อทำกำไรหาเงินเหมือนอย่างที่ตั้งใจไว้แต่แรก

เมื่อที่ดินมันร้อนก็ต้องทำให้เย็น ผมจึงเปลี่ยนโฉมที่ดินแปลงนี้ให้เป็นปอดของคนกรุงเทพฯ อีกแห่งหนึ่ง โดยใช้ชื่อว่า “สวนชูวิทย์”

ปลูกต้นไม้ใหญ่เป็นแถว ผมจัดวางแลนด์สเคปด้วยตัวเอง ล้อมรั้วหินทรายแกะสลัก ปูสนามหญ้าเขียวขจี

ภายในระยะเวลา 3 เดือนก็จัดการพัฒนาจนเสร็จเปิดให้ประชาชนเข้าใช้บริการ เดินเล่น วิ่งเล่น ออกกำลังกาย

นับเป็นสวนสาธารณะเล็กๆ ของชุมชนสุขุมวิท มีทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเข้ามาใช้บริการเป็นจำนวนมาก

ในเมื่อผมยังคิดไม่ออกว่าจะทำอะไรและยังมีคดีความ จึงคิดว่าปลูกต้นไม้ให้มันร่มรื่นแบบนี้ไปก่อน

สวนชูวิทย์ และที่มาของสวนชูวิทย์มีรายละเอียอยู่ในกูเกิลและโลนลี่ แพลเน็ต เป็นสถานที่ที่ต้องเยี่ยมชมแห่งหนึ่งในหลายๆ เว็บไซต์แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวให้กับชาวต่างชาติในย่านสุขุมวิท

สวนชูวิทย์

หลังจากจัดการสวนชูวิทย์เรียบร้อย อาชีพทางการเมืองของผมก็กลับมาเข้มข้นมีสีสัน

โดยผมสมัครผู้ว่าฯ กทม.รอบ 2 และยังคงได้รับคะแนนนิยมลำดับที่ 3 สามแสนกว่าคะแนน มากกว่าครั้งแรก

ส่วนลำดับที่ 1 ยังคงเป็น อภิรักษ์ โกษะโยธิน พรรคประชาธิปัตย์ แม้ว่าต่อมาไม่กี่เดือนจะต้องลาออกและมีการเลือกตั้งผู้ว่าฯ ใหม่อีกครั้ง เพราะคุณอภิรักษ์ติดคดีความเรื่องรถดับเพลิง

ตัวผมนั้นในช่วงใกล้วันเลือกตั้งผมมีคะแนนเสียงดีมาก แต่มาพลาดเอาตอนสองสามวันสุดท้ายเมื่อไปออกรายการช่อง 3 โดยมีพิธีกร คือ วิศาล ดิลกวณิช

หลังสัมภาษณ์เสร็จผมศอกใส่หน้าพิธีกรหนุ่มคนนี้เหตุเพราะอดรนทนไม่ไหว ทำให้คะแนนผมลดน้อยถอยลงจนถึงวันเลือกตั้ง

แต่ผมไม่ได้รู้สึกเสียอกเสียใจ เพราะนิสัยผมทำอะไรแล้วไม่มีมาเสียใจทีหลัง

ผู้สื่อข่าวทั้งไทยและเทศรุมล้อมสัมภาษณ์ผมในวันแถลงข่าวว่า

“คุณรู้สึกอย่างไรหลังจากไปศอกใส่คุณวิศาล”

ผมตอบว่ารู้สึกสบายใจดี เพราะถ้าผมไม่ทำผมจะอึดอัดจนถึงขั้นเจ็บช้ำน้ำใจ เมื่อทำไปแล้วเหมือนได้ปลดปล่อยและยอมรับผิด

นายวิศาลได้ไปแจ้งความดำเนินคดีข้อหาทำร้ายร่างกาย และท้ายสุดไปประนีประนอมยอมความกันที่ศาล

หลังจากนั้นผมออกจากพรรคชาติไทย เพราะเบื่อลีลาของมังกรเติ้ง

หลังจากออกมาก็วิพากษ์วิจารณ์แกว่าเป็น “หลงจู๊” และข้อความรุนแรงอีกหลายประการ ถึงขนาดตั้งโต๊ะด่าหน้าพรรคชาติไทยของแกก็ทำมาแล้ว

ที่ผมทำอย่างนั้นเพราะตอนนั้นแกดันไปร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชน (พรรคไทยรักไทยที่ถูกยุบและมาตั้งพรรคใหม่) เมื่อนายบรรหารบอกว่าจะไม่ร่วมรัฐบาลด้วย แต่ภายหลังดันไปเข้าร่วมผมจึงตามล้างตามเช็ดถึงขนาดเอาต้มเปรตปลาไหลไปมอบให้แก

จนกระทั่งนำไปสู่การฟ้องผมในคดีหมิ่นประมาท เรียกค่าเสียหาย 100 ล้าน

ศาลชั้นต้นยกฟ้อง ยังอุตส่าห์ไปอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ก็ยกฟ้องอีก เหตุเพราะผมมีหลักฐานว่านายบรรหารพูดเองในที่ประชุมพรรคว่า “ต้องเสียสัตย์เพื่อชาติ” (อีกแล้ว)

แม้คำวิพากษ์วิจารณ์ของผมจะรุนแรงไปบ้าง แต่ศาลเห็นว่านายบรรหารเป็นบุคคลสาธารณะ และสิ่งที่ผมพูดเป็นประโยชน์ต่อสาธารณชนจึงเป็นเหตุให้ยกฟ้อง

ผมลาออกจากรองหัวหน้าพรรคชาติไทยแล้วไปตั้งพรรคของตัวเองชื่อ พรรครักประเทศไทย ในขณะที่พรรคชาติไทยมีเหตุให้ถูกยุบพรรคพอดี กรรมการบริหารพรรคต้องเว้นวรรคทางการเมือง 5 ปี มีผมคนเดียวที่รอดเพราะลาออกมาก่อน

ปี 2554 มีการเลือกตั้งทั่วไป ผมได้ลงสมัครในนามพรรครักประเทศไทยและได้คะแนนเสียงปาร์ตี้ลิสต์เกือบล้านคะแนนเสียงจากทั่วประเทศ

โดยผมใช้หมาในการหาเสียงเพราะหมามันซื่อสัตย์และไม่เคยโกง รักเจ้านายไม่เคยทรยศ สโลแกนที่ผมใช้หาเสียงคือ “ขอเป็นฝ่ายค้าน เพื่อตรวจสอบ”

พรรคอื่นเขาหาเสียงเพื่อเป็นรัฐบาล มีพรรคผมเนี่ยแหละที่อยากเป็นฝ่ายค้าน

แคมเปญหาเสียงเป็นที่ฮือฮาทั้งในและต่างประเทศ กลยุทธ์การหาเสียงก็เหมือนเช่นเคย ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี

มี ส.ส. เข้าสภาทั้งสิ้น 4 คน คะแนนเสียงปาร์ตี้ลิสต์ที่ผมได้รับนั้นมาเป็นลำดับที่ 4 รองจากพรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคภูมิใจไทย

มากกว่าคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ของพรรคชาติไทยพัฒนาของนายบรรหาร (ตอนหลังพรรคชาติไทยจัดตั้งขึ้นใหม่เป็นพรรคชาติไทยพัฒนา) ผมจึงได้เข้าไปสร้างสีสันในสภาอีกเป็นครั้งที่สอง

เมื่อเข้าไปทำหน้าที่ในสภาผมก็เริ่มแฉเรื่องที่ผมถนัด พวกบ่อน พวกซ่อง ตำรวจ การทุจริตคอร์รัปชั่น เรียกว่าแฉกันจนเหนื่อย

ตำรวจหัวปั่นถึงขนาดเปลี่ยน ผบ.ตร. เพราะบ่อนที่ผมแฉ

AFP PHOTO / PORNCHAI KITTIWONGSAKUL

ในระหว่างดำรงตำแหน่งอยู่ในสภา ศาลอุทธรณ์ได้ตัดสินจำคุกผม 5 ปี จากคดีบาร์เบียร์

ผมมีเอกสิทธิ์คุ้มครองเพราะยังอยู่ในสมัยประชุมสภา และทำให้ผมต้องสู้ต่อในชั้นฎีกา

ตั้งแต่มีการรื้อถอนบาร์เบียร์ใหม่ๆ ผมได้พยายามเยียวยาโดยการจ่ายเงินให้ผู้เสียหายมาโดยตลอด จนผู้เสียหายทั้งหมดได้รับการชดใช้เป็นที่เรียบร้อยพอใจและมีการถอนฟ้อง

อีกทั้งที่ดินแปลงปัญหาก็ได้นำมาทำเป็นสวนแทนที่จะไปพัฒนาเพื่อหากำไร

ต่อมาเดือนตุลาคม 2558 ศาลฎีกานัดอ่านคำพิพากษา ผมยื่นคำให้การใหม่จากปฏิเสธเป็นรับสารภาพ ศาลต้องเลื่อนอ่านคำพิพากษาไปอีก 3 เดือน โดยนัดอ่านใหม่วันที่ 28 มกราคม 2559

การรับสารภาพของผมในขณะที่กำลังจะอ่านคำพิพากษาของศาลฎีกากลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ตามสื่อและวงการกฎหมายว่าสามารถกระทำได้หรือไม่ เพราะอยู่ในกระบวนการขั้นตอนสุดท้ายที่กำลังจะอ่านคำพิพากษาอยู่แล้ว หากจะรับสารภาพก็ต้องกระทำก่อนที่ศาลชั้นต้นจะตัดสิน

อย่างไรก็ดี นี่เป็นเทคนิคทางกฎหมาย ท้ายสุดศาลฎีกาไม่รับคำร้อง

แต่เมื่อผมสารภาพแล้วศาลท่านก็พิจารณาประกอบกับการเยียวยาให้กับผู้เสียหายตามสมควรจึงลดโทษให้จาก 5 ปี เหลือ 2 ปี

28 มกราคม 2559 เมื่อศาลฎีกาอ่านคำพิพากษาเสร็จสิ้น เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ก็นำตัวผมไปเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครทันที

จึงเป็นจุดเริ่มต้นการแฉครั้งใหม่ของผมหลังจากที่แฉมาหลายต่อหลายเรื่อง แม้ว่าครั้งแรกที่พูดเรื่องข้าวผัด 5,000 จะเป็นเพียงน้ำจิ้ม ผู้คุมถูกเด้งออกไป 2 คน ช่วงนั้นผมประกันตัวไม่ได้ต้องติดคุกอยู่ 1 เดือน แต่เที่ยวนี้ 2 ปี คงมีเรื่องให้แฉเกี่ยวกับคุกได้อีกเยอะ

วิบากรรมครั้งใหม่กำลังจะเริ่มขึ้นและผมเชื่อว่าชีวิตผมคงมีเรื่องราวเอามาเขียนให้อ่านอีกหลังจากที่ผมเขียนมาแล้วหลายเล่ม ตั้งแต่เล่มแรก อ่างอาบน้ำทองคำ คำสารภาพบาป และการเมืองแบบหมาๆ

อย่างไรก็ดี ผมมีความปรารถนาให้ได้อ่านเรื่องราวในคุกเพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้กับคนทั่วไปได้รู้ถึงสภาพภายในคุกไทย มิได้มีอคติกับผู้ใด และให้เป็นประโยชน์ต่อสาธารณชนได้พิจารณาว่า คุณมีโอกาสติดคุกอยู่เสมอ ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร

เพราะในช่วงเวลาที่ผมติดคุกอยู่นั้นมีทั้ง พล.อ. อดีตรัฐมนตรี อดีต ส.ส. นักการธนาคาร ด๊อกเตอร์ คนดังทั้งหลายพาเหรดเข้าคุกกันเป็นว่าเล่น

ดังนั้น ใครอย่าคิดว่าชีวิตนี้จะไม่มีโอกาสเข้าคุก

ทุกคนมีโอกาสพลาดเป็นผู้แพ้ครั้งหนึ่งในชีวิตเสมอ