“บาร์เบียร์” คดีที่ทำให้ผมติดคุก | ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์

ตอน 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 จบ

บาร์เบียร์ คดีที่ทำให้ผมติดคุก…

ศาลฎีกาอ่านคำพิพากษาคดีบาร์เบียร์อยู่นานกว่า 2 ชั่วโมง ท้ายสุดตัดสินให้จำคุกจำเลย 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา

หลังจากต่อสู้คดีมาเป็นระยะเวลา 12 ปี ผมเป็นผู้แพ้ในฐานะเจ้าของที่ดิน 6 ไร่ ใจกลางกรุงเทพฯ ติดถนนสุขุมวิทตอนต้น

ที่ดินแปลงนี้มีมูลค่ามหาศาล แต่ทำให้ผมต้องสูญเสียอิสรภาพ

สิ้นเสียงคำพิพากษา ผมไม่ได้รู้สึกพรั่นพรึงแต่อย่างใด เพราะรู้ชะตากรรมของตัวเองเป็นอย่างดี

เนื่องจากครั้งก่อนที่ศาลนัดอ่านคำพิพากษา ผมได้ยื่นแถลงขอรับสารภาพจากที่เคยปฏิเสธมาตลอด

ศาลจึงได้เลื่อนอ่านคำพิพากษาออกไปเป็นวันนี้

คดีนี้มีผมเพียงคนเดียวที่รับสารภาพ
จึงรู้อยู่แก่ใจว่าคดีนี้คงไม่รอดคุก ไม่มีปาฏิหาริย์

และหลังจากที่ฟังคำพิพากษาจนจบสิ้นกระบวนการตัดสินของศาลฎีกา ผมยอมรับอย่างหน้าชื่นอกตรมว่าเป็นคำพิพากษาที่ให้ความยุติธรรมกับจำเลยอย่างที่สุด

แม้ว่าศาลชั้นต้นจะพิพากษายกฟ้อง และศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษาตัดสินจำคุก 5 ปี

คำรับสารภาพของผมแม้ว่าศาลฎีกาจะไม่รับพิจารณา แต่ก็ได้ลดโทษจาก 5 ปี เหลือ 2 ปี เหตุเพราะผมสำนึกผิด

และได้พยายามเยียวยาโดยนำเอาที่ดินมูลค่ามหาศาลทำเป็นสวนสาธารณะปลูกต้นไม้ให้เป็นประโยชน์กับประชาชนสามารถเข้ามาพักผ่อนหย่อนใจท่ามกลางตึกสูงระฟ้า ทั้งโรงแรม สำนักงานล้อมรอบ

แทนที่จะนำที่ดินมาทำประโยชน์หาผลตอบแทนทางธุรกิจ

ตลอดระยะเวลาตั้งแต่ซื้อที่ดินแปลงนี้มาเมื่อมีปัญหาเป็นคดีความผมจึงนำที่ดินมาเป็นปอดให้กับคนกรุงเทพฯ

แม้ว่าจะเป็นระยะเวลาชั่วคราวเพราะในอนาคตนั้นก็ยังไม่รู้ว่าจะนำไปทำประโยชน์อันใด ถือเป็นเรื่องอนาคต เพราะเป็นที่ดินของผม

จวบจนบัดนี้ที่ดินแปลงนี้มีชื่อว่า “สวนชูวิทย์” อันร่มรื่นเขียวขจีด้วยต้นไม้ใหญ่และสนามหญ้าที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี

มีทั้งคนไทยและคนต่างชาติ ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ คนแก่ มาวิ่งออกกำลังกายเดินชมสวนอยู่เป็นประจำ

แม้คดีรื้อบาร์เบียร์จะเป็นข่าวใหญ่โต แต่เชื่อว่าหลายคนคงอยากรู้ที่มาที่ไปและสาเหตุที่ทำให้ผมติดคุก

จากนี้ผมจะเล่าเรื่องราวเบื้องลึกเบื้องหลังของที่ดินแปลงนี้ให้ฟัง

สวนชูวิทย์

เดิมที่ดินแปลงนี้เป็นของ บ.แสนสิริ เป็นที่อยู่อาศัยของครอบครัวเจ้าของบริษัทแต่ดั้งเดิม โดยต่อมาได้วางแผนพัฒนาเป็นอาคารสำนักงานสูงกว่า 30 ชั้น

แต่เมื่อมาเจอวิกฤตเศรษฐกิจตกต่ำที่เรียกว่า “ต้มยำกุ้ง” ของประเทศไทย ทำให้บริษัทมีปัญหาไม่สามารถดำเนินโครงการต่อไปได้ และถูกบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ทิสโก้ในขณะนั้น (ปัจจุบันเป็นธนาคาร ทิสโก้ จำกัด (มหาชน)) ได้ยึดที่แปลงนี้เพื่อชำระหนี้ที่ค้างอยู่ เท่ากับว่าทิสโก้เป็นเจ้าของที่ดินแปลงนี้

ต่อมาในปี 2544 ทิสโก้ได้ติดต่อมาที่ผมในฐานะที่เป็นลูกค้าชั้นดี โดยเสนอขายที่ดินแปลงนี้ให้ผมในราคาตารางวาละ 200,000 บาท รวมมูลค่า 500 ล้านบาท

ในสมัยนั้นถือว่าเป็นจำนวนเงินที่มาก ประกอบกับระยะเวลานั้นไม่มีใครกล้าจะซื้อเพราะธนาคารเข็มงวดเนื่องจากเพิ่งผ่านภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ หลายธนาคารและไฟแนนซ์ต้องล่มสลายภายใต้กฎระเบียบของ IMF

เชื่อไหมว่า ธนาคารมาเสนอขายผมตอนเวลา 3 ทุ่ม ในขณะนั้นผมยังประกอบธุรกิจ อาบ อบ นวด จำได้ดีว่าทิสโก้ส่งเจ้าหน้าที่มาพูดคุยเรื่องที่ดินแปลงนี้ที่คอฟฟี่ช็อป เอ็มมานูเอล ถ.รัชดา (ต่อมาผมได้ขายสถานที่นี้ไปเมื่อปี 2548)

ผมยังบอกเจ้าหน้าที่ทิสโก้ไปว่า ตารางวาละ 200,000 ขอลดเหลือ 180,000 ได้ไหม

แต่เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวยืนยันว่าราคานี้เป็นราคาที่บอร์ดตัดสินใจขาย

สมัย 15 ปีที่แล้วเงิน 500 ล้านไม่ใช่จำนวนเงินน้อยๆ แต่ผมตัดสินใจซื้อภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง

ผมเป็นคนคิดเร็วทำเร็ว คิดว่าที่ดินแปลงนี้คงจะเป็นประโยชน์ในอนาคต สามารถนำมาสร้างโรงแรมหรือศูนย์การค้าให้ผมได้เก็บกินหลังจากเลิกธุรกิจ อาบ อบ นวด

เพราะผมตั้งใจว่า เมื่อผมอายุ 50 ปี (ขณะนั้นผมอายุ 40) จะลงจากหลังเสือขายสถานบริการที่ผมมี 6 แห่ง ล้างมือในอ่างทองคำ ไม่อยากให้เป็นมรดกบาปส่งต่อไปให้ลูกหลานทำ เลิกธุรกิจกลางคืนที่ให้ความสุขกับคนอื่น และหาความสุขให้ตัวเอง จบธุรกิจสีเทาๆ และมาทำธุรกิจสีขาวๆ

นี่เป็นความตั้งใจของผม

AFP PHOTO / PORNCHAI KITTIWONGSAKUL

แต่ฟ้าดินคงไม่เป็นใจ เพราะแม้ผมจะเลิก แต่ผมกลับไม่ได้มีชีวิตที่สงบสุขกับทรัพย์สินเงินทองที่ผมหามาได้

กลับต้องเผชิญวิบากกรรมนานาชนิดหลังจากซื้อที่ดินแปลงนี้

ทั้งนี้เนื่องจากเงื่อนไขที่ผมตกลงกับทิสโก้ คือ จะต้องไล่ผู้เช่าที่ยังอยู่ในที่ดินให้ผมเสียก่อน

โดยเป็นบาร์เบียร์ทั้งหมดกว่า 100 ร้าน รวมกันเป็นแหล่งเอ็นเตอร์เทนเมนต์ชื่อดังในย่านสุขุมวิท มีฝรั่งชาวต่างชาติไปเที่ยวกันมากมาย ลักษณะเป็นบาร์เบียร์อะโกโก้แบบโอเพ่นแอร์คล้ายๆ แหล่งท่องเที่ยวย่านพัทยา

เวลาผ่านไป ทิสโก้ไม่สามารถขับไล่ผู้เช่าต่างๆ เหล่านี้ออกไปเพื่อส่งมอบที่ดินและโอนกรรมสิทธิ์ให้กับผมได้ ขอเลื่อนเวลาออกไปหลายครั้ง

ท้ายสุดทิสโก้จึงขอให้ผมเป็นผู้ขับไล่เอง โดยจะลดดอกเบี้ยขยายเวลาชำระค่าที่ดิน

แน่นอนว่าตามประสาพ่อค้าผมจึงตอบรับและเริ่มวางแผนขับไล่ผู้เช่าให้เร็วที่สุดเพื่อนำที่ดินมาทำโครงการ ถึงแม้จะประหยัดดอกเบี้ย

แต่มันไม่ได้เป็นแบบที่ผมคิดเลย เพราะบรรดาผู้เช่ากำลังทำเงินจากธุรกิจบาร์เบียร์ในที่ดินแปลงที่เรียกว่า “สุขุมวิทสแควร์”

บางร้านมีรายได้คืนละหลายหมื่นแม้เป็นการก่อสร้างร้านก็ไม่ถาวร มีเพียงเคาน์เตอร์บาร์

ลงทุนต่ำแบบนี้จึงไม่มีใครยอมย้ายออก แถมไม่ยอมจ่ายค่าเช่า เพราะจริงๆ แล้วสัญญาเช่าหมดไปตั้งนานแล้วเนื่องจากทิสโก้ไม่ต่อสัญญาเช่า

การฟ้องขับไล่โดยใช้กระบวนการของกฎหมายก็ใช้เวลานาน เพราะผู้เช่ารู้ว่ายิ่งนานยิ่งได้เปรียบ จึงพยายามถ่วงเวลาให้นานที่สุด

วันที่ 15 ต.ค. 2558 ศาลอาญากรุงเทพใต้ นัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีรื้อบาร์เบียร์ สุขุมวิท 10

ด้วยความใจร้อนตามประสาพ่อค้าที่จะรีบทำโครงการหาผลกำไร ทำให้ผมตัดสินใจผิดพลาด โดยผมวางแผนที่จะรื้อเอง ใช้ทีมผู้รับเหมา ทีมทหาร ทีม รปภ. และแน่นอนว่าทีมสุดท้ายคือ การประสานงานกับตำรวจ

เมื่อถึงวันลงมือ มีทั้งรถแบ็กโฮ เทรลเลอร์ รถเฮียบขนแท่นปูน รถบรรทุกของหนักทั้งเครื่องปั่นไฟฟ้า อุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือ เช่น แท่งคอนกรีต เหล็ก รั้วลวดหนาม และคนงาน

การรื้อถอนเริ่มขึ้นตอนเวลาตี 4 หลังจากร้านต่างๆ ปิด

โดยส่งทีมสำรวจถ่ายรูปทุกร้านไว้พร้อมทำบัญชีทรัพย์สิน เพราะรู้ว่าภายหลังต้องจ่ายเงินค่าเสียหายจากการรื้อถอนให้เจ้าของร้าน

เมื่อได้เวลาลงมือ รถบรรทุกทั้งหมดกว่าสิบคันเดินทางมาเป็นขบวนพร้อมรถตำรวจนำ

ผมจะโทษใครไม่ได้โดยเฉพาะตำรวจ เพราะรถบรรทุกหนัก เช่น เทรลเลอร์ เข้ามาใจกลางเมืองเป็นสิบคันแบบนั้นก็ต้องประสานงานกับตำรวจเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว

ภายในระยะเวลาเพียง 1 ชั่วโมงกว่า รถแบ็กโฮได้กวาดทำลายร้านค้าทั้งหมดกว่า 100 ร้านกลายเป็นเศษเหล็ก

อะไรที่เคยเรียกว่าบาร์เบียร์ ร้านค้าสารพัดชนิดไม่ว่าร้านขายตั๋วเครื่องบิน ร้านอินเตอร์เน็ต โต๊ะพูล ร้านอาหาร ทุกอย่างกลายเป็นซากปรักหักพังด้วยฝีมือของรถแบ็กโฮติดหัวเจาะ ปาดซ้าย ปาดขวาระเนระนาด

แม้แต่ศาลเจ้าที่ขนาดใหญ่ที่บรรดาคนกลางคืนเซ่นไหว้ก็พังไม่เหลือซาก

จากนั้นใช้แท่นคอนกรีตที่เรียกว่า “แบริเออร์” แบบเดียวกับที่ใช้แบ่งช่องจราจรบนทางด่วนวางกั้นเป็นรั้วกำแพงโดยรอบเสริม ความสูงด้วยเหล็กแผ่นและลวดหนามด้านบน

เรียกว่าปิดสนิทไม่สามารถเดินเข้ามาได้แม้แต่มองก็ยังไม่เห็น

เมื่อพระอาทิตย์ขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยเรียกว่า สุขุมวิทสแควร์ แหล่งเอ็นเตอร์เทนเมนต์อันโด่งดังได้สูญหายไปเสียสิ้น เหลือแต่ซาก

หลังจากนั้นรถบรรทุกของผู้รับเหมาก็เก็บอุปกรณ์หนัก เครื่องไม้เครื่องมือ รถแบ็กโฮ ขึ้นรถขับออกไปโดยทันที

ต้องบอกว่า ก่อนที่จะตัดสินใจทำแบบนี้ผมได้ส่งคนไปเจรจากับบรรดาเจ้าของร้านหลายครั้งหลายคราแล้ว

แต่อย่างว่า เมื่อธุรกิจดีก็ไม่มีใครยอมคุย แถมเบื้องหลังยังมีพวกเจ้าพ่อ นักเลง และสารพัด เสธ. ที่คอยปกป้องแฝงตัวหาผลประโยชน์ จึงทำให้การเจรจาต่อรองยิ่งยากลำบาก

ผมจึงคิดว่าต้องใช้เกลือจิ้มเกลือ เมื่อต่างคนต่างไม่ยอมก็ต้องพังกันไปข้าง ด้วยความกดดันบีบคั้นจึงตัดสินใจทำสิ่งที่ผิด

แต่สำหรับตอนนั้นหลังจากที่ทุกอย่างเหลือแต่ซาก ผมได้แต่ยืนมองด้วยความสะใจในฐานะเจ้าของที่ดิน

พร้อมนึกในใจว่า เตือนแล้วไม่ฟังเลยต้องเป็นแบบนี้

ช่วงเวลานั้นไม่มีใครรู้จักผมเพราะไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังจึงไม่มีใครจำผมได้

แม้แต่ตอนหลังที่ไปขึ้นศาลก็ไม่มีใครชี้ตัวผมสักคน ส่วนคนที่ทำงานนี้ทั้งหมด ทั้ง ทหาร ผู้รับเหมา คนงาน รปภ. รวมทั้งหมดเกือบ 400 คน แต่ผมไม่ได้ไปจ้างโดยตรง

การว่าจ้างของผมตกลงกับบุคคลเพียง 2-3 คน ที่เป็นคนรับงาน

และบุคคลเหล่านี้ได้จ้างลูกทีม คนงาน ทหาร เอาอีกทอดหนึ่ง ผมจึงไม่รู้จักใคร

งานสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี รื้อได้เรียบร้อยเด็ดขาด แต่ปัญหาที่ตามมาคือบรรดาเจ้าของร้านค้า และในขณะนั้น ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อข่าวดังออกไปจึงดูเสมือนว่าเป็นมาเฟียไม่เกรงกลัวกฎหมาย เพราะกระทำการด้วยชายฉกรรจ์หลายร้อยคน และรื้อหมดไม่เหลือหลอ

ผมได้ใช้นอมินีเพื่อตัดตอนในการสาวมาถึงผมว่า ได้มีบริษัทมาเช่าที่ดินผมไป และบริษัทดังกล่าวเป็นคนดำเนินการรื้อถอน มีสัญญาทำกันเรียบร้อย

ต่อมามีการสืบสวนและเนื่องจากทักษิณเข้ามาดูที่เกิดเหตุด้วยตัวเอง ตำรวจจึงกลับลำกลายเป็นไล่ล่าหาคนผิด

ส่วนผมนั้นถูกออกหมายจับเป็นคนสุดท้าย ในระหว่างออกหมายจับผมเดินทางไปประเทศออสเตรเลียเพื่อไปเจรจาซื้อโรงแรมแมริออท ที่โคโค้ซ บริซเบน มีตำรวจที่รู้จักโทร.บอกว่าผมถูกออกหมายจับจึงเดินทางกลับ

ผมเข้าประเทศไทยโดยวิธีพิเศษและหลบอยู่หลายเดือนจนคิดจะไปมอบตัว แต่ดันมีตำรวจที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวเสนอหน้ามาจับเพราะอยากอวดอ้างผลงาน ทั้งๆ ที่ในวงการก็รู้อยู่ว่าถ้าทักษิณที่เป็นนายกฯ ในขณะนั้นไม่เข้ามาแอ๊กชั่น ตำรวจก็คงไม่ต้องโชว์บทบาท เพราะมีการตกลงกันเปิดไฟเขียวเรียบร้อย

แต่อย่างที่บอกเรื่องราวมันกลับตาลปัตร ผมจึงกลายเป็นจำเลยถูกตำรวจจับที่สถานบริการของผมชื่อ วิคตอเรีย ถูกควบคุมตัวโดยศาลไม่ให้ประกันตัวต้องไปนอนอยู่ในคุกร่วมเดือน

จนต่อมากลายเป็นเรื่องพิพาทที่ผมออกมาแฉเรื่องข้าวผัด 5,000 เป็นที่ฮือฮาอย่างยิ่งในสมัยนั้น