บทความพิเศษ : ‘ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์’ เรียนรู้คุก (2) ข้าวผัด 5,000 บาท

ตอน 1

ผมยังจำได้ดีเสมือนเพิ่งผ่านไปเมื่อวาน สภาพคุกใต้ถุนศาลสนามหลวง (ปัจจุบันได้ปิดไปแล้ว) ขณะที่ผมถูกส่งตัวจากเรือนจำมาที่ศาลแห่งนี้ ถูกตีตรวนไว้ที่ขา ความรู้สึกมันตกต่ำสุดๆ

ไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้จะต้องมีโซ่ล่ามไว้ที่ขา

ระหว่างที่รอ ผมและเพื่อนนักโทษรู้สึกหิวข้าวเพราะมาตั้งแต่เช้ายังไม่ได้กินอะไร

มองเห็นเมียอยู่ด้านนอกถือข้าวกล่องรอส่งให้ผม แต่ผู้คุมที่ดูแลอยู่บริเวณได้ถุนศาลเอ่ยปากบอกผมว่า

“ชูวิทย์ ผมพูดตรงๆ เลยนะ ขอเงิน 5,000 ไปเลี้ยงสังสรรค์ เพราะผมเพิ่งได้เลื่อนตำแหน่ง”

โดยปกติคนเขามีแต่กินข้าวก่อนแล้วค่อยจ่ายตังค์

แต่นี่ผมต้องจ่ายก่อนถึงจะได้กินข้าว

แต่เอาเถอะ แม้จะเป็นนักโทษถูกตีตรวนที่ขาแต่ก็หิวข้าวเป็น

ผมจึงรีบบอกเมียให้เอาเงิน 5,000 ให้เขา

ปรากฏว่าเมียไม่มีเงินในกระเป๋าจึงต้องนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างไปที่ตู้ ATM และกดเงินมาให้ ผมจึงได้กินข้าวเสียที

แต่ด้วยความหิวจัดลมมันตีขึ้นกระเพาะ เพราะมัวแต่รอเงิน พอเงินมาก็รู้สึกกินไม่ลงแล้ว

ผมจึงนำข้าวไปให้เพื่อนนักโทษกินแทน

นี่คือเหตุการณ์เมื่อ 13 ปีก่อน ในปี พ.ศ.2546

พงษ์เทพ เทพกาญจนา

ต่อมาเมื่อผมแฉความจริง

ท่านพงษ์เทพ เทพกาญจนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในขณะนั้น รับลูกสั่งสอบสวน

กรมราชทัณฑ์เต้นเป็นเจ้าเข้า พาลโดนสอบไปถึงเรื่องความสะดวกสบายในเรือนจำที่ผมได้รับขณะกำลังติดคุกที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

ทั้งฟูกหนาๆ ที่ต้องจ่าย

เข้าห้องน้ำก็ต้องจ่าย

อยากเยี่ยมญาตินานๆ ก็ต้องจ่าย

ถึงขนาดฝรั่งออสเตรเลียที่ติดคุกร่วมแดน 1 กับผมบ่นว่า

“Hey! Mr.ชูวิทย์ ค่าครองชีพในคุกนี้แพงกว่าที่ซิดนีย์เสียอีก”

ที่เป็นอย่างนั้นเพราะไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ ในคุก

ผมจำได้ว่าตอนนั้นเรื่องราวขยายไปใหญ่โต หนังสือพิมพ์ตีข่าวพาดหัวทุกวัน

ชูวิทย์แฉโน่น ชูวิทย์แฉนี่

แต่ผมเป็นคนมีจรรยาบรรณ เล่นงานเฉพาะคนที่ทำร้ายผมเท่านั้น

ผู้คุมที่รีดเงินผม 5,000 ระดับซี 7 คนนี้นี่แหละที่ยังเซ่อซ่าไปฟ้องหมิ่นประมาทว่าทำให้เสียชื่อ เสียเกียรติประวัติข้าราชการ

แต่ท้ายสุดสู้ถึง 3 ศาลแพ้ผมทุกศาล

เพราะศาลเชื่อพยานหลักฐานที่มีทั้งสลิป ATM 5,000 บาท วินมอเตอร์ไซค์ที่พาไปกดเงิน

กลับมาที่ศาลยังขอซองจดหมายจากเจ้าหน้าที่เพื่อใส่เงิน

ผู้คุมคนนี้จึงถูกไล่ออก

คนอย่างผมจะเล่นใครต้องเล่นให้สุด มีอย่างที่ไหนคนติดคุกอยู่เงินสดเขาก็ไม่ให้พกเพราะผิดระเบียบเรือนจำ หิวข้าวก็หิว เครียดก็เครียด ยังมีหน้ามาไถเงินไม่รู้เวล่ำเวลา

เงินแค่นี้ผมให้ทิปเด็กยังมากกว่า

แต่มันเจ็บใจที่ไม่ได้กินข้าว

 

หลังจากนั้นก็ถึงคราวคุณตำรวจเพื่อนซี้ของผม ที่เวลาตกอับแล้วชอบถีบหัวส่งจึงต้องทวงบุญคุณกันเสียหน่อยว่าช่วงที่ผมทำธุรกิจ อาบ อบ นวด ต้องจ่ายเงินกันเป็นถุงเป็นถังไม่ใช่เป็นซอง

นาฬิกาโรเล็กซ์ผมแจกเป็นถาดไม่ใช่เป็นเรือน

มีเรื่องให้แฉได้ทุกวันจนสื่อตามมาเป็นพรวนได้ขึ้นหน้า 1 อยู่นาน

ส่วนเคล็ดลับก็ไม่มีอะไรมาก แค่แฉวันละนิดแต่พอดีอย่าให้มากไปหรือน้อยไป เท่านี้ก็ติดอันดับท็อปชาร์ตอยู่ในกระแสสปอตไลต์ส่องมีกล้องตามถ่ายตลอด

จากนั้นก็พลิ้วไปตามบทบาทด้วยตัวย่อสารพันที่ปล่อยออกมาเป็นระยะๆ

เรื่องที่พูดยืนยันว่าจริงทั้งนั้น แต่ต้องมีวิธีการพูดไม่ให้ถูกฟ้อง

เมื่อสื่อสนใจเอาไปลงข่าวออกทีวี ประชาชนจะได้รับรู้และต่อยอด

พอแฉหนักๆ เข้าผมเลยถูกอุ้มไปต่อรอง แล้วพามาปล่อยตัวข้างทาง

บ้างก็หาว่าผมเล่นละคร

ตำรวจก็ตามมาเล่นงานหาว่าแจ้งความเท็จ จับผมพิมพ์มือส่งศาล แต่ศาลท่านเข้าใจปล่อยตัวผมโดยไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน

เท่านี้เรื่องก็เริ่มตีกลับเพราะประชาชนเชื่อผมมากกว่าเชื่อตำรวจ

AFP PHOTO / PORNCHAI KITTIWONGSAKUL

เมื่อทำอะไรผมไม่ได้ก็ต้องหาทางทำลายธุรกิจ

แค่ปี 2546 ปีเดียวผมมีทั้งคดีหมิ่นประมาท แจ้งความเท็จ ฟอกเงิน ตั้งสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาต ค้าประเวณี คดีตามหลังมาเป็นพรวนถึง 13 คดี จากเดิมที่ไม่เคยมีเลยสักคดีเดียว

คืนหนึ่งตำรวจวางแผนบุกล่อซื้อที่สถานบริการ อาบ อบ นวด ของผม 4 แห่งพร้อมกัน

ทั้งที่มี อาบ อบ นวด ในกรุงเทพฯ มากมาย แต่เจาะจงมาที่ผมคนเดียว

อย่างนี้ล่ะครับที่สำนวนไทยเขาบอก “คนล้มอย่าข้าม แต่ให้กระทืบซ้ำ”

ผมยังถูก ปปง. ตามอายัดทรัพย์จนเงินเดือนลูกน้องยังไม่มีจ่าย

แม้แต่บัญชีลูกๆ ยังถูกอายัดไปด้วย แต่เคยมีผู้ใหญ่เตือนผม งานนี้เมื่อแฉแล้วนั่งไม่ได้ นอนไม่ได้ ต้องสู้ลูกเดียว

ผมจึงสู้ทุกรูปแบบ ชี้แจง ปปง. จนหลุดรอดจากการถูกอายัดทรัพย์ ที่เป็นคดีความก็ต่อสู้ในชั้นศาลจนชนะ

รอดคุกรอดตะรางมาโดยตลอด

AFP PHOTO / PORNCHAI KITTIWONGSAKUL

โดนเล่นงานหนักขนาดนี้มัวแต่ชกข้างเวทีคงไม่ไหว เห็นทีต้องขึ้นเวทีชก แล้วเวทีไหนเลยจะสู้เวทีการเมืองได้?

ผมจึงลงสมัครชิมลางการเมืองครั้งแแรก “ผู้ว่าฯ กทม.”

ผู้คนหัวเราะเยาะผม เพื่อนฝูงถามผมว่า “ไม่เอาหน่า นี่จะสมัครจริงๆ หรือ?” แม้แต่สื่อยังไม่เชื่อว่าผมจะเอาจริง

แต่ผมคิดไว้หมดแล้ว

นี่คือจุดเริ่มต้นในการต่อสู้และจะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ของผม

ช่วงหาเสียงผู้ว่าฯ กทม. กลยุทธ์การตลาดการเมืองที่ผมนำมาใช้ด้วยบุคลิกที่ต่อสู้กับความอยุติธรรม เอาจริงเอาจัง และไม่ยอมแพ้

ผมปูพรมโปสเตอร์หาเสียงขึ้นคัตเอาต์ตามทางด่วน

ซึ่งในสมัยนั้นการหาเสียงเลือกตั้งยังอนุญาตให้ขึ้นป้ายใหญ่ได้ ทุกสามแยกสี่แยกสำคัญใน กทม. ถูกผมยึด จ้างเด็กในชุมชนติดป้ายตามเสาไฟฟ้าและตระเวนดูแลรักษาป้าย

ทุกเวทีเสวนาผมไปปรากฏตัว มหาวิทยาลัยไหนเชิญผมไปหมด สถานีโทรทัศน์ไหนเชิญผมไม่เคยพลาด ชุมชนไหนที่ผมไม่เคยรู้จักทั้ง กทม. และฝั่งธนฯ ผมก็ไป

แต่สิ่งเดียวที่ผมไม่ทำเหมือนผู้สมัครคนอื่นๆ ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว คือ เดินแจกบัตรแนะนำตัว เพราะ กทม. มันกว้างใหญ่และผู้คนมีเวลาน้อย

ควรใช้สื่อให้เป็นประโยชน์ในการติดต่อกับประชาชน

เรื่องราวของผมจึงต่อเนื่องไม่ขาดตอนตั้งแต่แฉตำรวจยันสมัครผู้ว่าฯ กทม.

ด้วยกลยุทธ์การเมืองถึงลูกถึงคน ท้ายที่สุดเมื่อผลเลือกตั้งออกมาแม้ผมจะไม่ได้รับเลือก แต่ก็ติดอันดับ 3 ได้มาสามแสนกว่าคะแนน รองลงมาจาก อภิรักษ์ โกษะโยธิน จากพรรคประชาธิปัตย์ ที่ได้อันดับ 1 และ ปวีณา หงสกุล จากพรรคไทยรักไทย ที่ได้อันดับ 2 ทั้งสองมาจากพรรคใหญ่ที่มีคะแนนจัดตั้ง ส่วนผมมาเดี่ยวแต่ชนะ ร.ต.อ.เฉลิม, พิจิตต รัตตกุล อดีตผู้ว่าฯ

ผลคะแนนที่เกิดขึ้นทำให้ผมเริ่มมีราคา

จนมังกรเติ้ง บรรหาร ศิลปอาชา มาเชื้อเชิญให้ผมไปร่วมพรรคชาติไทยกับท่าน โดยให้ดำรงตำแหน่งรองหัวหน้าพรรค

จากเจ้าของ อาบ อบ นวด นั่งประชุมกับเด็กเชียร์แขก มาม่าซัง เที่ยวได้นั่งประชุมกับท่านบรรหาร ศิลปอาชา

ความลับที่ผมรู้อย่างหนึ่งในระหว่างประชุมกับท่านคือ ท่านจะไม่ยอมใช้ปากกา ใช้แต่ดินสอ

แรกๆ ผมไม่รู้ นึกว่าท่านคงเผลอลืม จึงเรียกให้เด็กเอาปากกามาให้ท่าน

แต่บรรดาผู้ใหญ่ในพรรคที่ร่วมประชุมบอกว่า ท่านไม่ชอบใช้ปากกา ท่านชอบใช้ดินสอเพราะมันลบได้ง่าย เขียนอะไรลงไปก็ลบได้ ไม่เหลือหลักฐานเอาไว้

นี่เป็นสิ่งแรกที่ผมเริ่มเรียนรู้จากท่านว่าการเมืองต้องไม่ทิ้งร่องรอย

 

ปีพ.ศ.2548 ผมพาพรรคชาติไทยได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ถึง 7 คน ผมอยู่ลำดับที่ 6 กวาดคะแนนใน กทม. 2 แสนกว่า จากเดิมที่พรรคชาติไทยได้คะแนนใน กทม. แค่หลักพัน

นี่จึงเป็นผลงานของผม

พอได้เข้าสภาหินอ่อนกลายเป็น ส.ส. ผู้ทรงเกียรติ ช่วงนั้นทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรี ผมทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้านแฉเรื่องความไม่ชอบมาพากลและคอร์รัปชั่นต่างๆ คู่กับพรรคประชาธิปัตย์

ได้ทำหน้าที่อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลเรื่อง CTX ที่เป็นเครื่อง X-Ray กระเป๋าในสนามบิน เป็นที่ฮือฮา

ได้รับฉายา “ดาวสภา” จากสื่อมวลชน จนทักษิณเกลียดขี้หน้าผม

นอกจากนั้น ผมยังเป็นรองประธานคณะกรรมาธิการการตำรวจสภาผู้แทนราษฎร

โลกมันแคบ เพราะตำรวจที่มีเรื่องมีราวกับผมในอดีตถูกร้องเรียนมาที่คณะอนุฯ ที่ผมได้รับมอบหมายจากคณะกรรมาธิการการตำรวจชุดใหญ่ให้เป็นประธาน

ตำรวจน้อยใหญ่ต้องมาตะเบ๊ะทำความเคารพและรายงานข้อเท็จจริงจากการถูกร้องเรียน

แต่ผมมันลูกผู้ชาย ไม่เคยเอาเรื่องกลั่นแกล้ง ว่ากันไปตามเนื้อผ้า

ตำรวจทุกนายในสมัยนั้นรู้ดีว่าผมมีนิสัยเป็นอย่างไร

 

เป็น ส.ส. ได้ครบปี พรรครัฐบาลไทยรักไทยยื่นศาลรัฐธรรมนูญให้ปลดผมออกจาก ส.ส. เพราะคุณสมบัติไม่ครบ

ในขณะนั้นรัฐธรรมนูญกำหนดให้สังกัดพรรคไม่น้อยกว่า 90 วัน ถึงจะลงสมัครได้

ผมยุบรวมพรรคไปอยู่กับพรรคชาติไทยน้อยกว่า 90 วัน

ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีมติปลดผมออกจากการเป็น ส.ส.

แต่ผมออกไปได้แค่เดือนเดียวทักษิณก็ยุบสภา

จากจุดเริ่มต้นของที่ดินบาร์เบียร์สุขุมวิท พาผมเตลิดจากย่านรัชดามาจนถึงย่านดุสิต เปลี่ยนที่ทำงานจากสถานบริการ อาบ อบ นวด เข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรอันทรงเกียรติ

จากนายชูวิทย์เป็นท่านชูวิทย์ ได้ตำแหน่ง ได้สายสะพายเครื่องราชอิสริยาภรณ์

ทุกสิ่งทุกอย่างกลับตาลปัตร

นึกแล้วชีวิตคนเราก็แปลกหนักหนา เปลี่ยนแปลงขึ้นลงรวดเร็วเกินกว่าจะคิดจะฝัน อย่างเช่นชีวิตของผมนี้ที่มันไม่แน่ไม่นอน

และยังไม่ได้จบลงเพียงเท่านี้