BLACK MIRROR : JOAN IS AWFUL | ‘อีกแง่มุมจากโลกยุคเอไอ’

นพมาส แววหงส์

สมัยยังเด็ก ผู้เขียนเคยติดหนังชุดทางทีวีชื่อ “แดนสนธยา” หรือ Twilight Zone ซึ่งเป็นหนังจบในตอนเดียวยาวครึ่งชั่วโมง ฉายประจำทุกสัปดาห์ โดยที่แต่ละตอนเล่าเรื่องราวแปลกใหม่ ตัวละครไม่ซ้ำกัน และไม่ต่อเนื่องเกี่ยวโยงกับตอนอื่นๆ

ส่วนใหญ่เป็นเรื่องลึกลับชวนพิศวง เช่น โลกในมิติอื่นแบบที่ปัจจุบันจะเรียกว่า multiverse เหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่อธิบายไม่ได้ ประสบการณ์แปลกประหลาดน่าหวาดหวั่น เรื่องการประสบพบพานกับมนุษย์ต่างดาวก็มี

มีอยู่ตอนหนึ่งที่จำได้แม่นไม่ลืมว่า เด็กไปเจอช่องเล็กๆ บนกำแพงหลังตู้ในบ้าน ซึ่งทะลุผ่านเข้าไปสู่โลกอีกมิติหนึ่ง

สมัยนั้นผู้เขียนยังเยาว์วัยไร้ความรู้ ดูทีวีเห็นเรื่องราวอะไรก็เชื่อเป็นตุเป็นตะ ทั้งเรื่องที่เป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้ เลยหวาดระแวงว่าจะมีประตูข้ามมิติอยู่ในบ้านตรงไหนบ้างหรือเปล่า ได้แต่มุดไปสำรวจใต้โต๊ะใต้เตียงหลังตู้ ลูบๆ คลำๆ ผนังห้องอย่างกล้าๆ กลัวๆ

เช็กดูว่าจะมีช่องให้หลุดผลัวะเข้าไปได้อย่างในหนังหรือเปล่า

ชาร์ลี บรุกเคอร์ ผู้สร้างบทแทบทุกเอพิโซดสำหรับหนังชุด Black Mirror บอกว่าเขาได้รับแรงบันดาลใจจาก Twilight Zone นี่แหละ

และ Black Mirror เป็นซีรีส์เรื่องโปรดของผู้เขียน นับแต่แรกได้ดูตอนแรก

เป็นหนังชุดจบในตอนเดียว แต่นำเสนอต่อเนื่องกันเป็นเอพิโซด จำนวนเอพิโซดของแต่ละฤดูกาลมีไม่มากนัก สามตอนบ้าง สี่ตอนบ้าง หรือสูงสุดไม่เกินหกตอน

ดูแต่ละตอน แล้วต้องพักหัวพักสมองให้เวลาย่อยหรือขบคิดก่อน จึงไม่ใช่ซีรีส์ยืดยาวที่นั่งหน้าจอได้ดูต่อเนื่องกันไปแบบติดหนึบเป็นตังเม เพราะแต่ละตอนมีประเด็นแหลมคมที่น่าคิดน่าขบทั้งนั้น มีบางเอพิโซดที่มีประเด็นแหลมคมถึงขั้นจบไปแล้วก็ยังนั่งนิ่งขึงตะลึงตะไล แต่ก็มีบางเอพิโซดที่ก็ไม่ค่อยเอ็นจอยเหมือนกัน

…เป็นธรรมดาว่าสิ่งดีๆ ไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบเสมอไป…

Black Mirror ส่วนใหญ่เป็นเรื่องราวแบบนิยายวิทยาศาสตร์ของโลกในอนาคตอันใกล้ พร้อมด้วยเทคโนโลยีล้ำยุคที่ก้าวเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตมนุษย์ รวมทั้งบางครั้งก็ส่งผลต่อสังคมในด้านจริยธรรมและคุณธรรม

หลังจากจบปีที่ห้าแล้ว Black Mirror ก็ห่างหายไปนานถึงสี่ปี จนนึกว่าเลิกสร้างไปแล้ว แต่ก็เพิ่งจะกลับมาฉายต่อในซีซั่นที่ 6 ในเน็ตฟลิกซ์ขณะนี้

ซีซั่นนี้เปิดตัวด้วยเอพิโซดที่กระชากใจด้วยไอเดียที่เลิศล้ำชวนคิดและเปิดโลกทัศน์ยุคไอทีมาก…น่าเสียดายที่ไปตกม้าหล่นแอ้กเสียในช่วงหลังๆ เลยไม่ได้ควบอาชาพาไอเดียบรรเจิดไปส่งให้สุดทางถึงฝั่งอย่างสวยงามลงตัว

พูดง่ายๆ คือ เรื่องราวน่าคิดน่าสนใจ…และน่ากลัวน่าระแวง…มากๆ สำหรับโลกยุคเอไอ แต่ไปตกม้าตายตอนจบ หักมุมโมเม…เหมือนกลอนพาไป…เอาในช่วงกลางถึงท้ายเรื่องให้กลายเป็นคอเมดีตลกโปกฮา เพื่อความมันส์สะใจอย่างเดียว…จนเสียเรื่องเสียรสไปเลย

เอพิโซดนี้มีชื่อว่า Joan Is Awful

เรื่องของเรื่องคือ โจน (แอนนี่ เมอร์ฟี) เป็นสาวออฟฟิศระดับหัวหน้า เพื่อแก้เซ็งกับความซ้ำซากจำเจในชีวิตเธอเพิ่งไปทำผมเก๋ไก๋จากสไตลิสต์ เปลี่ยนรูปลักษณ์ให้เป็นสาวเปรี้ยวชวนสะดุดตาด้วยปอยผมขาวโพลนเป็นกรอบหน้า ตัดกับเรือนผมสีเข้ม

โจนมีหน้าที่บอกเลิกจ้างพนักงานบริษัทที่ทำงานไม่คุ้มค่า ซึ่งแน่นอนว่าต้องกลายเป็นดราม่าในชีวิตของลูกน้องจนเป็นน้ำหูน้ำตาและเป็นปากเสียงกัน

โจนมีแฟนเป็นหนุ่มเชื้อสายอินเดีย แต่เธอก็แอบนอกใจไปมีกิ๊ก แก้เบื่อและเพื่อความกระชุ่มกระชวยตามแบบสาวอเมริกันยุคใหม่ แม้จะไม่ก้าวข้ามเส้นจนเกินเลยไป

กลับบ้านไปใช้ชีวิตอยู่กับแฟนผู้ไม่ชอบชีวิตโลดแล่นอยู่นอกบ้าน เลยเปิดทีวีนั่งดูหนังที่ฉายทางช่อง “สตรีมเบอร์รี่” ซึ่งเพิ่งสมัครเป็นสมาชิก

สตรีมเบอร์รี่ ก็ประมาณเดียวกับเน็ตฟลิกซ์นี่แหละค่ะ คือเป็นช่องสตรีมหนังที่ต้องสมัครเป็นสมาชิก และมีหนังที่ผลิตเองออกสตรีมด้วย

ค่ำวันนั้น โจนนั่งดูหนังชื่อ Joan Is Awful อยู่กับแฟนหนุ่มเชื้อสายอินเดีย เป็นเรื่องราวของสาวคมขำผมดำทรงผมแบบเดียวกับโจนไม่มีผิด และใช้ชื่อว่าโจนเหมือนกัน แถมแสดงโดยดาราสาวเชื้อสายเม็กซิกันคนดังที่คนทั่วโลกรู้จัก ตัวจริงเสียงจริง คือ ซัลมา ฮาเย็ก

รูปแบบของชีวิตของตัวละครโจนในทีวีในวันนั้นละม้ายแม้นเหมือนสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตโจนตัวจริงแทบไม่ผิดเพี้ยน เธอทำผมไฮไลต์สีขาวโพลนเหมือนกัน ไล่พนักงานออกจากงานเหมือนกัน แอบมีนัดกิ๊กนอกใจแฟนเหมือนกัน และกลับบ้านไปหาแฟนเชื้อสายอินเดียเพื่อดูทีวีเหมือนกัน

วันรุ่งขึ้น โจนเริ่มเจอกับสายตาแปลกๆ ของเพื่อนร่วมงานและผู้คนที่ประสบพบเห็นซึ่งแน่นอนว่าต้องได้ดูหนัง Joan Is Awful มาเหมือนกัน

อะไรมันจะประจวบเหมาะขนาดนั้น เป็นไปไม่ได้เลยที่ใครจะเขียนบทมาสร้างหนังโดยไม่ได้ข้อมูลมาจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงของโจน

โจนจึงเริ่มหาทางจะฟ้องเรียกค่าเสียหายจากสตรีมเบอร์รี่

แต่ทนายความก็บอกว่า ในตอนเซ็นสัญญาสมัครสมาชิก เธอได้สละสิทธิ์ในการฟ้องร้องไปแล้ว และสตรีมเบอร์รี่ก็ได้ข้อมูลสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของเธอไปด้วยการประมวลของเอไอ

แปลว่าชีวิตของคนยุคดิจิทัลนี้มีเทคโนโลยีจับจ้องบันทึกไว้โดยแทบไม่ได้คลาดสายตา

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมาร์ตโฟนและกล้อง รปภ. ทุกหนทุกแห่ง

อีกทั้งความว่องไวในการทำหนังออกสู่สายตาคนดู ยังแทบไม่ต้องใช้โปรดักชั่นทีมเขียนบท หานักแสดง หาโลเกชั่น ให้สิ้นเปลือง เอไอจัดการได้หมดสิ้นเสร็จสรรพ เพียงแค่เซ็นสัญญาหานักแสดงมีชื่อมาเป็นหน้าตาของหนัง

ในเรื่อง ซัลมา ฮาเย็ก ตัวจริงเสียงจริงชื่อจริง เป็นนักแสดงผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่คนนั้น เซ็นสัญญาตกลงให้ใช้ชื่อใช้หน้ามาแปะไว้ โดยไม่ต้องเสียแรงเสียเวลาลุกขึ้นมาแต่งตัวแต่งหน้าเข้าฉากแสดง

งานผลิตโปรดักชั่นทั้งหมดทำด้วยเอไอหมดทุกอย่าง แสนสะดวกแสนประหยัด

เรื่องราวที่เกิดเมื่อตอนเช้ากลายมาเป็นหนังสตรีมให้คนดูได้ทันใจในตอนสิ้นวัน

ความน่าคิดอยู่ที่ความสามารถของเอไอที่เข้ามาแทนที่มนุษย์ได้ในทุกขั้นตอน เพียงแค่สั่งงานให้มันทำ มันก็ทำไปได้เองด้วยความว่องไวทันใจเหมือนเสกได้

อย่างที่บอกไว้แล้ว ไอเดียอันแสนบรรเจิดเข้าท่านี้ไม่ได้นำไปสู่ตอนลงเอยที่ลงตัว แต่กลับเหไปเป็นคอเมดี้ตลกโปกฮาหักมุมจบเอาดื้อๆ

เอาเถอะค่ะ ถึงอย่างไรดูหนังเอพิโซดนี้แล้วก็ให้ความรู้สึกหวาดระแวงในภัยคุกคามความเป็นส่วนตัวของบุคคลผู้อาจตกเข้าไปเป็นเหยื่อในวังวนของโลกบริโภคนิยมที่มนุษย์ส่วนใหญ่ยังก้าวตามไม่ทัน

นี่เป็นอีกแง่มุมที่ชวนคิดของโลกบันเทิงในอนาคตค่ะ •

BLACK MIRROR : JOAN IS AWFUL

สร้างบท

Charlie Brooker

แสดงนำ

Annie Murphy

Salma Hayek

Michael Cera

Himesh Patel

 

ภาพยนตร์ | นพมาส แววหงส์