ตัวละครสอน “ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก” ไว้ อย่าได้ตัดสินคนอื่น!

ตอนนี้ใบเฟิร์น-พิมพ์ชนก ลือวิเศษไพบูลย์ กำลังปลื้มปริ่ม

เหตุผลก็เพราะภาพยนตร์ “เฟรนด์โซน ระวังสิ้นสุดทางเพื่อน” ออกมาแบบสมใจหวัง คุ้มค่าความตั้งใจ ทุ่มเท และอยากเล่นหนักมาก ถึงขนาดบนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์

“ต้องบอกว่าเป็นแฟนหนังจีดีเอช แล้วรู้สึกว่าใครได้เล่นหนังค่ายนี้โชคดีมากๆ” นางเอกที่ใครๆ กำลังพูดถึงเผยถึงความรู้สึก แล้วว่าก่อนหน้านี้ ตอนยังไม่มีโอกาสร่วมงาน ทุกครั้งที่ไปดูหนังค่ายนี้ สิ่งที่รู้สึกตลอดคือ “ทำไมนักแสดงคนนี้ได้เล่นด้วย”

ดังนั้น พอได้รับการติดต่อให้ไปแคสต์ “ไป ไป ไปเดี๋ยวนี้” จากเสียงอ่อยๆ ตอนพูดถึงโอกาสดีที่คนอื่นได้เมื่อไม่ถึงนาทีก่อน เสียงของเธอก็เปลี่ยนแบบพลิกขั้วเป็นสดชื่น แจ่มใส ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้สักนิดว่าถูกชวนให้เล่นเป็นตัวใด บทไหน

และพอได้รู้ก็ยิ่งไปใหญ่

“อยากเล่นหนักมาก” เผยด้วยดวงตาเป็นประกาย

“เขาหยิบมาแค่ซีนเดียวเองนะ แต่ตัว “กิ๊ง” นี่เหมือนเราจัง เป็นคนพูดตรงไปตรงมา ห้วนๆ เหมือนเด็กผู้ชาย ซึ่งไม่รู้เขาจะมองเหมือนเราไหม เราอาจจะอยากได้มากจนเข้าข้างตัวเองหรือเปล่า”

ด้วยเหตุนี้ เพื่อเพิ่มความน่าจะเป็น เธอจึงบนบานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอให้ได้

แล้วก็ถวายน้ำแดงไปเรียบร้อย

“เฟิร์นอยากเป็นส่วนหนึ่งของงาน เพราะสิ่งที่เห็นจากค่ายนี้ชัดที่สุดคือการตั้งใจทำหนัง เราจึงเห็นข้อผิดพลาดน้อยมาก ไม่เห็นการปล่อย”

“เราเคยทำงาน ทำหนัง หรือซีรี่ส์ ละคร บางทีมันมีปัจจัยบางอย่างที่เขาปล่อย เขาได้อย่างอื่น ก็เข้าใจนะ ในปัจจุบัน ในการทำงานทุกอย่าง แต่พอเห็นค่ายนี้แล้ว คงได้เล่นจนหยดสุดท้าย ใช้ทรัพยากรของเราอย่างเต็มที่ที่เราอยากจะใช้ ที่เรามีอยู่ ที่อยากให้คนเห็น ได้ทำหน้าที่นักแสดง แล้วก็มีคุณค่าในตัวเอง”

“ถ่ายละครทุกวันนี้มันเร่งมาก วันหนึ่งบางที 20-30 ซีน คุณจะเป็นตัวละครที่เตรียมมาได้เต็มที่เท่าไหร่ ด้วยเวลา ด้วยอะไรหลายๆ อย่างไม่ได้มีโอกาสให้ แต่หนังเรื่องนี้ทุกอย่างตั้งเซ็ตไว้ แล้วมีเวลาให้เราอยู่กับตัวละครเต็มที่ เล่นจนกว่าจะออกมาดีที่สุด มันไม่ได้มีทุกที่ที่มีโอกาสให้ได้ทำอะไรแบบนี้”

ดังนั้น แม้ทุกวันตลอดการทำงาน “จะกลับบ้านแบบเหนื่อยมาก แต่โห…ฉันมีคุณค่าว่ะ ในการเป็นนักแสดง” คือความรู้สึกของเจ้าตัว

จุดเริ่มต้นในการเป็นนักแสดงของเธอ ใบเฟิร์นบอกว่า น่าจะเกิดขึ้นเมื่อได้เล่นละครเวทีเป็นกระต่าย ตอนเรียนชั้นประถม 1

“สนุกมาก ตื่นเต้นกับการเป็นกระต่ายแล้วเดินไปเจอโน่น เจอนี่ เหมือนหลุดเข้าไปในโลกแห่งจินตนาการ ชอบ ก็เหมือนทุกวันนี้ที่บางทีการได้เป็นตัวละครต่างๆ ที่เล่น เรายังมั่นใจกว่าเป็นใบเฟิร์น พิมพ์ชนก อีก”

“ประหลาดเนอะ” เธอว่า-ซึ่งเราก็พยักหน้าเห็นด้วย

เหตุผลน่ะหรือ?

“คือตัวเองเป็นคนขี้อาย เป็นคนเขินๆ ไม่ชอบการไปยืนอยู่หน้าห้อง แล้วพรีเซนต์งาน ใครให้เชิญธงชาติไม่เคยเชิญ นำสวดมนต์ ไม่ทำ อย่ามองฉัน อย่าเรียกเลขที่ อย่าให้ออกไปถือพาน อย่าขานชื่อหนู เป็นอย่างนี้ตลอด แต่ในขณะเดียวกันอาชีพที่เราชอบดันเป็นอาชีพที่อยู่ต่อหน้ากล้อง อยู่หน้าผู้คน”

ที่เป็นอย่างนั้นเพราะเธอได้ค้นพบว่าเวลาที่จะรู้สึกมีความสุขจริงๆ คือเวลาที่อยู่ในกอง “และอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ใช่ตัวเรา แต่คือกิ๊ง คือคนโน้น คนนี้”

“ทุกวันนี้เวลาจะถูกสัมภาษณ์เฟิร์นยังกลัว จะพูดอะไรดี เกร็งไปหมด แต่มั่นเวลาอยู่ในเซ็ต รู้ว่าตัวละครฉันจะทำอะไร จะเอาอะไร”

ดังนั้น เพื่อจะได้มีความสุขไปเรื่อยๆ เธอจึงตั้งเป้าหมายไว้ 3 ประการ คือ จะเป็นนักแสดงที่เก่ง ทุกคนรัก และอยากร่วมงานด้วย

“ทำการบ้าน” และ “มีระเบียบวินัยในงาน” จึงเป็นสิ่งที่ยึดถือมาตลอด

และจากการฝึกฝนมา 16 ปี ถึงตอนนี้เธอบอกว่าเหมือนๆ จะได้ในสิ่งที่คาดหวัง แต่กระนั้นก็อยากให้เป็นมากกว่านี้ เก่งมากกว่านี้ ขณะเดียวกันก็อยากจัดการอารมณ์ตัวเองให้ได้มากกว่านี้

“เป็นคนขี้นอยด์ไง ซีนนี้ต้องเล่นไม่ดีแน่ๆ จะเล่นได้ไหม ที่เล่นไปมันดีไหมนี่ แพนิคอ่ะ” นี่คนที่เข้าเวิร์กช็อป เรียนแล้วเรียนอีก อ่านบทแล้ว อ่านบทอีก เพื่อความทำความเข้าใจ สารภาพ

ในส่วนของงาน ใบเฟิร์นบอกว่า ช่วง 1-2 ปีนี้ มีคนติดต่อ “เยอะที่สุดในชีวิต” จะเป็นเพราะช่วงจังหวะ เพราะละครก่อนหน้าที่เล่นออกมาดี หรือเพราะช่วงนี้มีนางเอกฟรีแลนซ์ ไม่ติดสังกัด น้อย ก็ไม่รู้ ที่รู้คือช่วง 1 ปีที่ผ่านมา เธอปฏิเสธไปเกือบ 40 เรื่อง เพราะไม่อยากรับซ้อน จากประสบการณ์เคยรับแล้วไม่สบายใจ รู้สึกว่าทำออกมาได้ไม่ดี

“ไม่ชอบที่ไม่มีเวลามานั่งอ่าน ทำความเข้าใจอย่างสบายๆ กลายเป็นไม่ได้ดีสักเรื่อง จะทำงานขนาดนั้นเยอะๆ ไปเพื่ออะไร”

ส่วนถ้ามีหลายๆ งานมาให้เลือกพร้อมกันน่ะเหรอ เธอก็มักจะเลือกแบบที่ไม่ค่อยมั่นใจว่าจะทำได้ไหมเอาไว้

“อย่างถ้าเป็นดราม่าก็ต้องมีอะไรสักอย่างที่เหมือนจะทำไม่ได้ เหมือนจะไม่เข้าใจ จะต้องไปหาข้อมูล จะทำได้ไหมว้า นี่น่ะจะอยากเล่น ส่วนถ้าเป็นคอเมดี้ เราจะตลกไหม แล้วถ้าไม่ตลกจะทำยังไง ก็กังวล แต่อยากเล่น”

ไม่ธรรมดานะ-เราบอก

“เนอะ” นี่เธอว่า พร้อมพยักหน้าเห็นด้วย

ใบเฟิร์นยังบอกด้วยว่า ถ้าไม่ได้เป็นนักแสดง มุมมองและแนวคิดของเธอคงจะไม่เป็นอย่างทุกวันนี้ ที่เปิดกว้าง และไม่ตัดสินใคร

“เมื่อก่อนจะชอบมองว่าอันนี้ผิด อันนี้ถูก อันนี้ดี อันนี้ไม่ดี ขาวกับดำ ด้วยความที่โดนปลูกฝัง แต่พอไปเป็นอะไรที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่ยึดถือ เราก็เลิกตัดสินคนอื่น เพราะถ้าย้อนกลับไปตอนเรื่อง “หลงไฟ” ตัวละครคือจากดำเป็นขาว ขาวเป็นดำ แล้วเฟิร์นต้องเชื่อว่าดำนี่คือขาวให้ได้ ไม่งั้นเฟิร์นก็จะไม่ทำตามเส้นทางชีวิตนี้แน่นอน”

คนที่เคยดูละครเรื่องที่ว่า คงนึกถึงเรื่องของ “ก้านแก้ว” ที่ทำทุกอย่างเพื่อความสุขสบาย โดยไม่นึกถึงอะไรทั้งสิ้น ซึ่งเธอนำมาเล่าเป็นตัวอย่างออก

เธอยังบอกอีกว่า “แต่พอเปิดใจ แล้วมองว่าสิ่งนี้มันถูกต้องขึ้นมาในช่วงเวลาหนึ่ง กลายเป็นเรามีพื้นที่ให้กับสิ่งที่เรามองว่าไม่ดี แล้วเลิกตัดสินคนอื่นเยอะมาก ว่าเธอเป็นคนแบบนี้ เพราะเธอเป็นแบบนี้แน่ๆ”

ทุกวันนี้เธอจึงเป็นใบเฟิร์น “ที่ความคิดเปิดกว้างขึ้นเยอะมาก”

อย่างที่ตัวเองก็นึกไม่ถึง