กาละแมร์ พัชรศรี : บทสนทนาของเพื่อนวัยสี่สิบ

นับวันยิ่งชอบการเติบโตของตัวเอง เอาจริงคือ ยิ่งแก่ยิ่งแซบ

ความแซบที่ว่า มันกลมกล่อมไปซะทุกเรื่อง มันอร่อย มันนัว ยิ่งปรุงยิ่งสนุก แถมกินแล้วดีต่อสุขภาพ

นี่ไม่ใช่คำโฆษณาชวนเชื่อ เป็นแค่คำบรรยายให้เห็นภาพเฉยๆ

เมื่อก่อนเราคงกินทุกอย่างที่ขวางหน้า อะไรที่ไม่เคยกินเราก็อยากลอง แต่พอเราได้ลองได้รู้ เราชัดเจนกับสิ่งที่ตัวเองชอบมากขึ้น รู้จักตัวเองมากขึ้น

เราจึงรู้ว่าเราควรกินอะไร ไม่ชอบกินอะไร และเราก็ปรุงมันอย่างลึกซึ้งมากขึ้น ไม่ออกแนวกว้าง แต่ออกทางลึก

วันก่อนเจอเพื่อนสมัยมหาวิทยาลัย รู้จักกันมายี่สิบกว่าปี รู้ดีว่าชีวิตแต่ละคนผ่านและพ้นอะไรมาบ้าง รวมตัวกันวันนี้เพื่อทำบุญ ถวายสังฆทาน นั่งนานๆ เพื่อคุยกันเรื่องธรรมะ!

ก่อนหน้านี้ยังมีคุยเรื่องผัว ลูก และสุขภาพ

พอคราวนี้รู้แล้วว่าเรามีหน้าที่ที่ต้องดูแลตัวเองอย่างไร อย่าให้ต้องมาเตือนว่า “เฮ้ย! มรึงออกกำลังกายรึยัง อย่าเครียดนะ กินอาหารให้ดีนะ”

ตอนนี้ทุกคนรู้ตัวว่าอะไรดี ไม่ดี และลงมือทำจนเห็นผล เรื่องนี้เราจึงไม่ต้องห่วงกันมากนัก

จากเรื่อง “ออกกำลังกาย” เราจึงมาถึงเรื่อง “ออกกำลังใจ” บ้าง

 

จุดเริ่มต้นไม่ต่างจากกาย เพราะมันจะเริ่มจาก เอ่อ เริ่มไม่ค่อยสบายใจ มันหนักๆ มันเบื่อๆ เซ็งๆ คล้ายกับตอนร่างกายที่มันจะเริ่มมีอาการที่ไม่ปกติ เมื่อเราสังเกตตัวเองดีพอ และยอมรับว่า เราอยากหาวิธีที่ทำให้มันดีขึ้น เราจะเปิดรับสิ่งดีๆ รอบๆ ตัว เพื่อให้เราเอาเข้าไปปรับใช้ให้มันดีกับตัวเอง

เราคุยกันหลายเรื่อง รวมถึงเรื่องเป้าหมายชีวิตของแต่ละคน

น่าแปลกที่เรามีศาสนาเป็นปลายทางคล้ายๆ กัน แล้วเอาจริงๆ คือ พอสังเกตดีๆ ก็จะเห็นว่าทั้งตัวเราและเพื่อนดูเย็นมากขึ้น สบายๆ มากขึ้น อะไรก็ได้ ยังไงก็ได้มากขึ้น ไม่ถือโทษ ถือโกรธใครแบบเมื่อก่อน ที่แทบจะยอมกันไม่ได้ ต้องรวมตัวกันเอาคืนให้ได้

มีเพื่อนคนหนึ่งสรุปการคุยของพวกเราไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย และแชร์ผ่านเฟซบุ๊กว่า

ฉันว่ามันน่าสนใจและน่าจะเป็นประโยชน์ให้กับคนอื่นได้บ้าง

จึงขอหยิบยกบางเรื่องบางตอนมาแชร์ให้อ่านกัน…

 

บทสรุปของการสนทนาของ “เพื่อน” ที่หาเวลามาพบกันคือ “มันดีมาก”

เราต่างก็รู้กันว่า นิสัยแต่ละคนเป็นอย่างไร

แต่ละคนผ่านอะไรมาบ้าง แล้ววันนี้เผชิญกับอะไรอยู่

“เวลา” ที่ “ใช่” หรือ Right Time คือสิ่งที่วันนี้เรายอมรับกับมันและไม่พยายามฝืน ยึด ยื้อ คาดหวัง เหมือนเมื่อวานที่เรายังอ่อน

“เจอมาเยอะ เจ็บมาแยะ จ่ายมายับ” คือสิ่งที่เราแชร์กันตลอด

เราไม่เคยสอนกันให้เกลียดคนที่มาทำร้ายเรา คนที่ทำให้เราเสียใจ แต่เรากลับดึงดันว่า “มึงต้องขอบคุณคนเหล่านั้น”

พร้อมตัวอย่างที่ว่า “ดูอย่างกู กูขอบคุณผู้ชายทุกคนที่ผ่านเข้ามา”

และเพื่อนก็ถามต่อว่า “ขอบคุณครบยัง” เราทุกคนตอบว่า “ยัง เพราะมันเยอะมากค่ะ”

เราทำบุญถวายเพลคือให้ทานแก่กาย เราพูดคุยสารทุกข์สุกดิบคือให้ทานแก่ใจ เราทุกคนได้การบ้านกลับไปคิด ไปทบทวน และฝึกฝน สิ่งที่แต่ละคนต้องไปหาคือ

*ทุกวันนี้ที่ทำอยู่คือเพื่ออะไร อะไรคือเป้าหมาย

*หาความดี หาโอกาสที่เรามีให้เจอ อย่าเพ่งมองแต่ความไม่ดี ความพร่อง ความขาดแคลนที่ตัวเองเผชิญ

*ทบทวนสิ่งที่ไม่พอใจที่คนอื่นกระทำกับเรา > เราจัดการตัวเราเพื่อรับมืออย่างไร > แล้วเราเคยกระทำแบบนี้กับคนอื่นไหม > คนที่เคยถูกเรากระทำ เขาเกลียดเราไปแล้วหรือเปล่า

*หลงว่าตัวเองดี หลงว่าตัวเองไม่ดี เวลาหลงรู้ตัวไหมว่าหลง ไม่ว่าจะหลงแบบไหน ก็พาตัวเราต่ำลงทั้งนั้น

*เรามีเวลามากนักหรือ ถึงได้ไปยุ่งเรื่องคนอื่น

*เราปล่อยให้ข่าวสาร พลังงานด้านลบเข้ามาในชีวิตเราเอง แล้วเราจะไปว่าคนอื่น ว่าสังคม สิ่งแวดล้อมทำไม เพราะการเสพเรื่องลบๆ มันจะทำให้เรามองเห็นแต่ด้านแย่ๆ ของชีวิต ของสังคม ของโลก ทำให้เราไม่มีมุมมองในแง่บวก เห็นถึงความเป็นไปได้ในชีวิต เพราะเราคลุกคลีและเห็นแต่เรื่องที่มันหดหู่ใจทั้งสิ้น

*อย่าปิดกั้นตัวเองด้วยการคิดว่าสิ่งที่เราเป็นอยู่ ทำอยู่มันดีอยู่แล้ว เปิดตามองโลกให้กว้าง เปิดใจศึกษารับสิ่งใหม่ๆ เพื่อให้ได้เห็นว่า จริงๆ แล้วเราอาจอยู่แค่ในกะลาเท่านั้น แล้วก็ดีอกดีใจว่ามันช่างดีเหลือเกิน เพราะเราไม่เคยได้ไปสัมผัสกับสิ่งที่ดีกว่าไงเล่า

*มีสติ เลือกรับ เลือกรู้ เรื่องราวต่างๆ โดยเฉพาะ social media หยิกตัวเองแล้วถามตัวเองว่า > นานพอไหม คิดลบพอรึยัง เรื่องคนอื่นเนอะ มึงน่ะดีแล้วรอดแล้วหรอ อะไรที่ไม่ได้ส่งผลดีต่อตนเอง อย่าเสียเวลากับมันนาน

*ไม่มีคำว่า “ไม่มีเวลา ไม่ว่าง” ทุกอย่างอยู่ที่การจัดการและการให้ความสำคัญ

*ให้เวลากับตัวเองในการออกกำลังกายและปฏิบัติธรรม สองอย่างนี้มีจุดร่วมคือวินัย อดทน ฝึกฝนตนเอง ทำเอง ได้เอง

กัลยาณมิตรมีอยู่จริงบนโลกใบนี้ค่ะ…