ขอแสดงความนับถือ

สําหรับผู้อ่านที่อาจไม่ได้ติดตามบทความพิเศษ “33 ปี ชีวิตสีกากี พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์” อย่างต่อเนื่อง

ขอทบทวน ย้อนกลับไป 2 ฉบับ

คือ ฉบับที่ 2274 วันที่ 15 -21 มีนาคม 2567

และฉบับที่ 2275 วันที่ 22-28 มีนาคม 2567

เป็นห้วงที่ พล.ต.ต.ปวีณ เริ่มชีวิตการทำงานในอาชีพตำรวจ

หลังสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ

โดย พล.ต.ต.ปวีน เลือกตำแหน่ง รองสารวัตรสืบสวนสอบสวน สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองระนอง จังหวัดระนอง

จังหวัดเล็กๆ ในภาคใต้ เป็นที่ทำงานแห่งแรก

“…ต้นทุนในการเริ่มรับราชการตำรวจครั้งแรกของผมมีเพียงความรู้ที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาจากครูบาอาจารย์โรงเรียนนายร้อยตำรวจ จากโรงเรียนมัธยม จากโรงเรียนประถม จากพ่อแม่พี่น้องของผมเท่านั้นเอง รวมทั้งกำลังใจสนับสนุนจากครอบครัว

อุปกรณ์ที่เริ่มใช้ทำงาน คือ พิมพ์ดีด 1 เครื่อง อาวุธปืน 1 กระบอก ที่ซื้อไว้เมื่อใกล้จะจบจากสามพราน และวิทยุยี่ห้อไอคอม 1 เครื่อง ที่ซื้อไว้เพื่อนำมาใช้ในงานตำรวจ เพราะงบประมาณของกรมตำรวจขาดแคลน และในครอบครัวผมไม่เคยมีใครรับราชการมาก่อนเลย…”

ชีวิตตำรวจของ พล.ต.ต.ปวีณ จึงเริ่มต้นที่ความ “ขาดแคลน”

 

นอกจากความขาดแคลนแล้ว

เส้นทางการเป็นตำรวจ ก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ

ทั้งโดยส่วนบุคคล และโดยระบบ

พล.ต.ต.ปวีณ สรุปออกมาเป็น 30 ประเด็น

โดยในเรื่องส่วนบุคคล

พล.ต.ต.ปวีณ ระบุในฉบับ 2274 ว่า

“…ผมถูกตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัย ตั้งแต่ผมเข้าเวรเดี่ยวครั้งแรก จนไม่สามารถขอเหรียญจักรมาลาได้ เมื่อรับราชการครบ 15 ปี หรือเหรียญจักรพรรดิมาลา เมื่อรับราชการครบ 25 ปี

ด้วยเหตุผลว่า เพราะมีมลทินจากเหตุโทษภาคทัณฑ์ที่ผู้ต้องขังหลบหนีออกจากห้องขัง ทั้งที่ไม่ใช่ความผิดของผม แต่เป็นเพราะระเบียบบังคับให้นายร้อยเวรสอบสวนคดีอาญา คือผมต้องเป็นผู้รับผิดชอบ

เรื่องดีๆ เด่นๆ พลาดตลอด เรื่องแย่ๆ ไม่เคยพลาด

และยังถูกตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัยอีกหลายครั้ง เป็นเรื่องที่ลูกน้องทำสำนวนการสอบสวนล่าช้า หรือลูกน้องทำผิดพลาด…”

 

ส่วนในเรื่องระบบนั้น

พล.ต.ต.ปวีณ ระบุว่า

“…ผมได้เห็นการต่อสู้ช่วงชิงตำแหน่งหน้าที่การงานอย่างถึงพริกถึงขิง ทุกรูปแบบ

ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล ทั้งนี้ เพื่ออำนาจและเงินตราทรัพย์สินเงินทอง การนับหน้าถือตา เป็นกิเลสหนาที่เห็นได้ทั่วไปในสังคมที่ผมไปทำงาน มีทั้งการโกงกันซึ่งหน้า หรือใช้วิธีการที่แยบยล

และที่สุดก็ย้อนมาทำลายสังคมส่วนรวมและประเทศชาติที่ทุกคนแหกปากว่ารักชาติ ค่อยๆ ซึมกระจายไปทีละนิด…”

และ

“…ผมได้เห็นการแต่งตั้งและโยกย้ายตำแหน่งตำรวจที่มีแต่ความอัปยศและเห็นความเลวของผู้มีอำนาจ นำมาใช้ในการซื้อขายตำแหน่งอย่างเมามัน ครั้งแล้วครั้งเล่า คำสั่งแล้วคำสั่งเล่า ปีแล้วปีเล่า ค่อยๆ ทำลายองค์กรของตนเองไปอย่างช้าๆ แต่ซึมลึกและยากต่อการแก้ไข

ไม่มีใครถูกลงโทษ

ซ้ำยังหน้าด้านมีหน้าตาในสังคม”

 

พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์

 

ส่วนในฉบับต่อมา ฉบับ 2275

พล.ต.ต.ปวีณ ย้ำอีกว่า

“..ผมได้เห็นเล่ห์เหลี่ยมและชั้นเชิงของทั้งนักการเมืองและผู้บังคับบัญชา

ที่นำวิธีการที่สกปรกมาใช้

เพียงเพื่อขอรักษาอำนาจและผลประโยชน์ของตัวเอง วิธีการที่ใช้อำนาจในการทุจริต กอบโกยเอาทุกอย่าง ตามที่กิเลสตัวเองต้องการ

เช่น เรื่องการซื้อขายตำแหน่ง

การช่วยทหารในการยึดอำนาจ

ทำแม้กระทั่งปล้นบ้านของตัวเอง…”

 

ใน “มติชนสุดสัปดาห์” ฉบับนี้ พล.ต.ต.ปวีณ ซึ่งยังคง “ลี้ภัย” อยู่ที่ออสเตรเลีย

นำเสนออีก 10 ประสบการณ์ที่เผชิญในอาชีพตำรวจ

ภายใต้ความรู้สึกอันท่วมท้นว่า

“…ผมเริ่มรู้แล้วว่า องค์กรที่ผมสังกัดอยู่ เปรียบเสมือนตึกหลังใหญ่

แต่ภายในโครงสร้างตึกนั้น มีวัสดุที่สกปรกนำมาผสมและก่อสร้างตึกหลังนี้

วัสดุนั้นถ้าเผอิญอยู่ในส่วนของโครงสร้างที่สำคัญของตึก วันหนึ่งตึกนี้จะเกิดรอยแตกปริร้าว

หากไม่รีบแก้ไข และปล่อยให้ขยายความเลวร้ายต่อไป

สักวันตึกหลังนี้จะพังทลายลงมา…”

 

ปรากฏการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตอนนี้

ทำให้สิ่งที่ พล.ต.ต.ปวีณ เตือน อยู่ใกล้เหลือเกิน

“ตึกหลังนี้จะพังทลายลงมา” •