ขอแสดงความนับถือ

ขอแสดงความนับถือ

 

ยุทธบทความ ของ สุรชาติ บำรุงสุข ในฉบับนี้

ว่าด้วย “ชัยชนะของตุลาการธิปไตย! / บนเส้นทางการเมืองที่เปราะบาง”

แน่นอนว่า อาจารย์สุรชาติ ต้องการโฟกัสไปยัง

“ตุลาการธิปไตย” (Juristocracy)

อันเป็นการจัดการปัญหาการเมืองด้วยกระบวนการทางกฎหมาย

เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่ถูกนำมาใช้ในการเมืองไทย

อย่างได้ผล และมีประสิทธิภาพ (หน้า 36-37)

 

อาจารย์สุรชาติ จัดให้ “ตุลาการธิปไตย” สังกัดอยู่ใน “พลังปีกขวา” ในการเมืองไทย

เป็นพลังปีกขวา ที่ควบคุมทิศทางการเมืองของไทยมายาวนาน

โดยหากพิจารณาจากพัฒนาการของประวัติศาสตร์การเมืองไทยนับจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 เป็นต้นมา

จะเห็นว่าพลังปีกขวา หรือพลังของฝ่ายอนุรักษนิยมไทย ได้ผสานเข้ากับพลังของจารีตนิยม อย่างมีพลังและเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถกุมความได้เปรียบในการเมืองไทยมาโดยตลอด

แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างใดก็ตาม

แต่พลังเช่นนี้ก็สามารถเป็นผู้กุมชัยชนะได้ในแทบทุกครั้ง

และแน่นอน

พวกเขากำลังจะได้รับชัยชนะในการตั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลใหม่ ในครั้งนี้ด้วย

แม้ว่าจะสวนกับเจตนารมณ์ของประชาชน ที่แสดงผ่านการเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม อย่างสิ้นเชิงก็ตาม

 

จากภาวะดังกล่าว ทำให้กลุ่มปีกขวาเชื่อว่าพวกเขาสามารถชนะการต่อสู้ทางการเมืองได้เสมอ

และตลอดไป?

แต่อาจารย์สุรชาติ ก็เตือนปีกฝ่ายขวาว่า ในอีกด้านหนึ่งของชัยชนะ

มันอาจจะกลายเป็นต้นทางของกระแสความรุนแรงในอนาคตได้ไม่ยาก

ด้วยเพราะทำให้อีกฝ่ายหนึ่งมองไม่เห็นทางออกอื่น

การขับเคลื่อนของฝ่ายอนุรักษนิยม ที่นับวันยิ่งทวีความเป็น “จารีตนิยม” มากขึ้นนั้น

ทำให้การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองในสังคมไทย ดูจะตีบตันมากขึ้น

เท่าๆ กับที่การแสวงหาทางออกจากวิกฤตก็ถูกบีบให้แคบลงด้วย

เนื่องจากความเห็นต่างถูกขยายให้เกิดมี “ช่องว่างทางความคิด” มากขึ้น

จนยากที่จะหา “ฉันทานุมัติร่วมกัน” ในความเห็นต่างเหล่านั้น

และอาจจะนำพาไปสู่เหตุอันไม่พึงประสงค์ได้

 

อย่างไรก็ตาม ด้วยชัยชนะที่มีมาตลอดของปีกฝ่ายขวา อาจทำให้พวกเขาไม่ยี่หระหรือกังวลนัก

ด้วยชนชั้นนำและกลุ่มอนุรักษนิยมที่มีอำนาจทางการเมืองมักเชื่อเสมอว่า พวกเขายังสามารถควบคุมสถานการณ์ทุกอย่างไว้ในมือได้ตลอดไป

และเชื่อมั่นเสมอว่า พวกเขาจะดำรง “สถานะเดิม” ของสังคมไว้

โดยไม่จำเป็นต้องปรับตัวไปกับกระแสความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นรอบตัวแต่อย่างใด

และพลังของ “พลังปีกขวา” จะจัดการเรื่องเช่นนี้ได้

ยิ่งกว่านั้นพวกเขาพร้อมที่จะใช้อำนาจที่มี ทั้งเสนาธิปไตย ทั้งตุลาการธิปไตย เข้าจัดการ

เพื่อ “สร้างความกลัว” อันจะทำให้สังคมยอมจำนนไม่ต่อสู้

เช่น การจับกุมพร้อมกับคำตัดสินที่มีโทษสูง ซึ่งจะทำให้คนในสังคมอยู่โดยไม่กล้าที่จะเรียกร้องหาความเปลี่ยนแปลงใดๆ

ขณะเดียวกันก็อยู่โดยยอมรับต่อการใช้อำนาจของผู้ปกครองอย่างไม่ต่อต้านด้วย

แต่อาจารย์สุรชาติ ก็เตือนพลังปีกขวาว่า การใช้อำนาจเช่นนี้

กลับมีข้อจำกัดในตัวเอง

เพราะหากฝ่ายตรงกันข้ามทางการเมืองตัดสินใจที่จะก้าวข้ามผ่าน “ความกลัว” ที่ถูกสร้างด้วยการใช้กฎหมายเป็นอาวุธแล้ว

พลังปีกขวาอาจจะไม่เหลือมากพอที่จะใช้ยับยั้งการลุกขึ้นเรียกร้องของผู้เห็นต่างได้

 

คําเตือนนี้ จะแทรกผ่านความลิงโลด เข้าไปถึงฝ่ายพลังปีกขวา ที่กำลังเชื่อมั่นว่า ตนเองกำลังควบคุมการเมืองอย่างเบ็ดเสร็จเอาไว้ได้อีกครั้ง หรือไม่

ยังเป็นคำถาม

เพราะไม่เพียงพลังปีกขวาจะมั่นใจ ในความเหนือกว่าแล้ว

พวกเขายังสามารถเบียดแทรกเข้าไปทำให้ฝ่ายเสรีนิยมถูกแยกสลายให้อ่อนแอลง

ดังกรณีโอบกอดพรรคเพื่อไทยเป็นพวก และบดขยี้พรรคก้าวไกลอย่างได้ผล

สังคมไทยจึงยังต้องอยู่ภายใต้ปีกพลังฝ่ายขวา อีกยาวนาน?!?! •