ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 15 - 21 กรกฎาคม 2559 |
---|---|
คอลัมน์ | ขอแสดงความนับถือ |
เผยแพร่ |
แม้วันนี้ 7 นักศึกษาได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวจากศาลทหารแล้ว
แต่กรณี “ตรวน” ในสายตาองค์กรสิทธิมนุษยชน
และกรณี “กุญแจเท้า” ในสายตาประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
ยังน่าสนใจ
เริ่มที่ จดหมายของ สุรพงษ์ กองจันทึก ประธานมูลนิธิผสานวัฒนธรรม ที่มีถึง “มติชนสุดสัปดาห์” ก่อน
…ตามที่สื่อต่างๆ นำเสนอข่าว 13 นักศึกษาถูกจับกุม
เนื่องจากการแจกเอกสารรณรงค์ไม่รับประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ย่านนิคมบางพลี เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2559 ที่ผ่านมา
วันที่ 5 กรกฎาคม 2559 พนักงานสอบสวนได้นำนักศึกษาทั้ง 7 คน ที่ไม่ขอประกันตัว ถูกควบคุมตัวไว้ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ไปขอฝากขังต่อศาลทหาร
ปรากฏว่ามีการใส่โซ่ตรวน ที่ข้อเท้าทั้งสองข้าง ต่อหน้าสาธารณชนและสื่อมวลชน
ทั้งนี้ ตาม พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ.2479 มาตรา 14 ได้กำหนดไว้ว่า ห้ามใช้เครื่องพันธนาการ เว้นแต่จะเข้าข้อยกเว้นที่กำหนดไว้ เช่น
1) เป็นบุคคลที่น่าจะทำอันตรายต่อชีวิตหรือร่างกายของตนเองหรือผู้อื่น
2) เป็นบุคคลวิกลจริต อันอาจเป็นภยันตรายต่อผู้อื่น
3) เป็นบุคคลที่น่าพยายามหลบหนี
การใส่ตรวนข้อเท้านั้นเป็นการปฏิบัติที่ขัดต่อบทบัญญัติ ข้อ 1, ข้อ 5 ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ
และขัดกับบทบัญญัติข้อ 7, 10(1) กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง
การที่ไทยไม่ปฏิบัติตามพันธกรณีนี้ถือว่าขัดต่อมาตรฐานขั้นต่ำของการปฏิบัติต่อนักโทษขององค์การสหประชาชาติ ข้อ 33 ซึ่งแม้ไม่มีผลบังคับทางกฎหมายในไทย แต่ก็เป็นเอกสารที่ไทยให้ความเห็นชอบ
การควบคุมตัวบุคคลโดยใช้เครื่องพันธนาการนั้น (กรณีนี้โซ่ตรวนข้อเท้า) จึงทำได้กรณีที่มีข้อยกเว้นเท่านั้น
เมื่อไม่ปรากฏว่านักศึกษาทั้ง 7 คนมีพฤติการณ์ใดที่แสดงให้เห็นว่าจะหลบหนี
และได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า จะต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรม ไม่ใช้สิทธิในการประกันตัว
ก็ไม่มีความจำเป็นใช้เครื่องพันธนาการ
ทำให้ผู้ต้องขังได้รับความเดือดร้อนเกินควร
เคลื่อนไหวร่างกายไม่สะดวกและได้รับความทุกข์ทรมานทางร่างกาย
เป็นการลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
มูลนิธิผสานวัฒนธรรมจึงขอเรียกร้องดังนี้
1. ให้มีการทบทวนด้านนโยบายการนำโซ่ตรวนมาใช้ในการควบคุมตัวผู้ต้องขังหรือนักโทษ
2. ให้มีการทบทวนแก้ไขข้อกฎหมาย กฎ ระเบียบปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับงานราชทัณฑ์เพื่อให้มีการปฏิบัติหน้าที่หรือการทำงานที่มีความสมดุลระหว่างความปลอดภัยและการไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน พร้อมทั้งไม่ลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
3. ให้มีการปรับปรุงสภาพของเรือนจำและการเดินทางมาศาลให้วิธีที่เหมาะสมมาใช้แทนการใช้โซ่ตรวนในกรณีเพื่อความปลอดภัย
นายสุรพงษ์ กองจันทึก
ประธานมูลนิธิผสานวัฒนธรรม
ต่อมา มีเอกสารจาก นายวัส ติงสมิตร ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ชี้แจงกรณีดังกล่าว โดยสรุปดังนี้
ตามกฎกระทรวงที่ออกตามความในมาตรา 58 แห่ง พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ.2479
เครื่องพันธนาการที่จะใช้แก่ผู้ต้องขังมี 5 ประเภท คือ (1) ตรวน (2) กุญแจมือ (3) กุญแจเท้า (4) ชุดกุญแจมือและกุญแจเท้า และ (5) โซ่ล่าม
กรณีการพันธนาการผู้ต้องขังทั้ง 7 เป็นการใช้กุญแจเท้า ไม่ใช่โซ่ตรวนตามที่มีการให้ข่าว
ตามกฎกระทรวงที่ออกตามความในมาตรา 58 แห่ง พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ.2479 ข้อ 28 วรรคสาม ในกรณีที่ต้องนำตัวคนต้องขังหรือคนฝากไปนอกเรือนจำ ถ้าใช้เครื่องพันธนาการ ให้ใช้กุญแจมือ
เว้นแต่คนต้องขังในคดีอุกฉกรรจ์ จะใช้ตรวน หรือกุญแจเท้า หรือชุดกุญแจมือและกุญแจเท้าก็ได้
และตามข้อ 30 ห้ามมิให้ใช้เครื่องพันธนาการอย่างอื่นซึ่งกำหนดไว้ในกฎกระทรวงนี้
เว้นแต่ในกรณีจำเป็น
ผู้บัญชาการเรือนจำจะอนุญาตให้ใช้เครื่องพันธนาการอย่างอื่น ซึ่งเห็นว่าเบากว่านี้ก็ได้
ในกรณีการควบคุมตัวผู้ต้องขัง 7 คน ตามข่าว
มาตรการที่พึงใช้เพื่อป้องกันการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อผู้ต้องขังในอนาคต
ควรเริ่มต้นพิจารณาใช้เครื่องแต่งกายของผู้ต้องขังให้สามารถปกปิดเครื่องพันธนาการไว้
และในระหว่างนำตัวผู้ต้องขังไปฝากขังต่อศาล
ควรป้องกันมิให้มีการถ่ายภาพผู้ต้องขังดังกล่าว
โดยอาจใช้ฉากกั้นมิให้มองเห็นภาพขณะผู้ต้องขังลงหรือขึ้นรถยนต์ที่ใช้ควบคุมผู้ต้องขังไปศาลหรือกลับจากศาล หรือใช้มาตรการอื่นตามที่เห็นสมควรก็ได้
จะเห็นด้วยกับ “สุรพงษ์ กองจันทึก” หรือ “วัส ติงสมิตร”
โปรดช่วยกันแลกเปลี่ยน-ถกเถียง
เพราะกรณีนี้อาจเกิดขึ้นกับเขาหรือเราก็ได้ในอนาคต
รวมถึงประเด็น นักศึกษาทั้ง 7 คน คือผู้ต้องขังใน “คดีอุกฉกรรจ์”
จนต้องใช้ ตรวน หรือ กุญแจเท้า หรือไม่