AOT ครบ 42 ปี การดำเนินงาน มุ่งพัฒนาศักยภาพและประสิทธิภาพการให้บริการ เพื่อรองรับการฟื้นตัวของผู้โดยสารและธุรกิจการบิน เสริมรายได้สู่องค์กรอย่างยั่งยืน

วันที่ 1 กรกฎาคม 2564 บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT) ครบรอบ 42 ปีการดำเนินงาน 

ยังคงเดินหน้าพัฒนาศักยภาพสนามบิน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับปริมาณการจราจรทางอากาศและ เพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการผู้โดยสารเมื่อการเดินทางกลับสู่ภาวะปกติ ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมให้เกิดการฟื้นตัว ทางเศรษฐกิจของประเทศ นอกจากนั้น AOT ยังมุ่งขยายธุรกิจในด้านต่างๆ เพื่อให้องค์กรเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน 

นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ AOT กล่าวว่า วันที่ 1 กรกฎาคม 2564 AOT ครบรอบ  42 ปีการดำเนินงาน มีสนามบินภายใต้การบริหารของ AOT จำนวน 6 แห่ง ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.)  ท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.) ท่าอากาศยานเชียงใหม่ (ทชม.) ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ทชร.)  ท่าอากาศยานภูเก็ต (ทภก.) และท่าอากาศยานหาดใหญ่ (ทหญ.) โดย 8 เดือนที่ผ่านมาของปีงบประมาณ 2564  (ตุลาคม 2563 – พฤษภาคม 2564) ปริมาณการจราจรทางอากาศ ณ สนามบนทั้ง 6 แห่งมีผู้โดยสารใช้บริการประมาณ 18.33 ล้านคน ลดลง 71.5% เป็นไปในทิศทางเดียวกับจำนวนเที่ยวบิน คือ มีประมาณ 206,000 เที่ยวบิน ลดลง 51.6% เมื่อเทียบกับ ช่วงเดียวกันของปีก่อน (มีผู้โดยสาร 64.20 ล้านคนและเที่ยวบิน 425,800 เที่ยวบิน) เนื่องจากปีงบประมาณ 2563  

AOT ได้ประโยชน์จากไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2563 ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นช่วง Golden Months แต่ในปีงบประมาณ 2564 นโยบายภาครัฐของไทยและหลายประเทศสำคัญของโลกยังคงมาตรการการจำกัดการเดินทางทางอากาศ ระหว่างประเทศตลอดทั้งปี เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 และจากการแพร่ระบาดฯ ระลอก 2 และ 3 ส่งผลให้การฟื้นตัวของการเดินทางภายในประเทศเกิดการปรับตัวลง 

นายนิตินัย กล่าวเพิ่มเติมว่า จากปริมาณผู้โดยสารและเที่ยวบินที่ลดลงส่งผลให้ผลการดำเนินงานด้านการเงินของ AOT รอบ 6 เดือนของปีงบประมาณ 2564 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 – 31 มีนาคม 2564 (งบการเงินเฉพาะบริษัท) AOT มีรายได้จากการขายหรือการให้บริการ 3,748.03 ล้านบาท และรายได้อื่น 792.13 ล้านบาท รวมรายได้คิดเป็น 4,540.16 ล้านบาท และมีค่าใช้จ่าย 13,464.40 ล้านบาท และรายได้ภาษีเงินได้ 1,857.30 ล้านบาท จึงทำให้มีผลขาดทุนสำหรับงวดดังกล่าว จำนวน 7,066.94 ล้านบาท

สำหรับโครงการ Phuket Sandbox ซึ่งจะเริ่มวันที่ 1 กรกฎาคม 2564 AOT มีความพร้อมในการรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยได้จัดสิ่งอำนวยความสะดวกและเจ้าหน้าที่คอยให้คำแนะนำแก่ผู้โดยสาร เริ่มตั้งแต่ขั้นตอนการรับนักท่องเที่ยว กระบวนการตรวจเอกสารและหนังสือเดินทาง การตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย การตรวจหาเชื้อไวรัส  COVID-19 รวมทั้งได้เน้นย้ำในเรื่องการรักษาความสะอาด การเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) และการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและติดตามเฝ้าระวังโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด ซึ่ง AOT และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันฝึกซ้อมกระบวนการผู้โดยสารขาเข้าและขาออกระหว่างประเทศ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้โดยสารที่จะมาใช้บริการ

ทั้งนี้ จากการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ซึ่งถือเป็นวิกฤตครั้งใหญ่ที่สุด และส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการบินมากที่สุด รวมทั้งมีผลกระทบต่อการบริหารและการดำเนินงานของ AOT อย่างชัดเจน
ทำให้ AOT ได้มีการประเมินและวิเคราะห์สถานการณ์หลังจากสิ้นสุดวิกฤตโรค COVID-19 ทั้งในด้านรูปแบบการเดินทาง พฤติกรรมผู้โดยสาร ทิศทางอุตสากรรมการท่องเที่ยวและการบิน โดยเฉพาะการนำเทคโนโลยีมาใช้อำนวยความสะดวกผู้โดยสาร เพื่อลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อจากการเดินทางทางอากาศ และยังสอดคล้องกับสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (International Air Transport Association : IATA) และสภาสมาคมท่าอากาศยานระหว่างประเทศ (Airport Council International : ACI) ที่ได้ร่วมมือกันจัดทำโครงการ NEXTT (New Experience Travel Technologies) เพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยในการเดินทางทางอากาศ ซึ่ง AOT ได้นำสิ่งเหล่านี้ 

มาปรับกลยุทธ์การบริหารองค์กรให้สามารถฟื้นตัวให้ได้เร็วที่สุด โดยที่ผ่านมา AOT ได้เริ่มศึกษา พัฒนา และต่อยอดเทคโนโลยี เพื่ออำนวยความสะดวกผู้โดยสารและลดความเสี่ยงที่เกิดจากการสัมผัส ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มนำมาใช้ในสนามบิน 

บางแห่งของ AOT เพื่อนำร่องและขยายผลให้ครบทุกสนามบินในอนาคต ได้แก่  

(1)  ระบบตรวจบัตรโดยสารขึ้นเครื่อง (Common Use Passenger Processing System : CUPPS)  

เริ่มนำร่องที่ ทสภ.แห่งแรก ซึ่งเป็นระบบที่อำนวยความสะดวกผู้โดยสารไม่ต้องต่อแถวเช็กอินและโหลดสัมภาระ ประกอบด้วย ระบบ CUSS (Common Use Self Service) การเช็กอินผ่านเครื่อง Kiosk โดยในอนาคต AOT
จะนำเทคโนโลยี Bio Metric เข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพการเช็กอิน ซึ่งผู้โดยสารไม่จำเป็นต้องใช้บัตรโดยสารในการยืนยันตัวตน ในพิธีการตรวจคนเข้าเมือง และการตรวจบัตรโดยสารก่อนขึ้นเครื่อง พร้อมทั้งระบบ CUBD (Common Use Bag Drop) สำหรับผู้โดยสารโหลดสัมภาระได้ด้วยตนเอง 

(2)  ระบบติดตามและตรวจนับความหนาแน่นผู้โดยสารแบบ Real time (Passenger Tracking) เริ่มนำร่อง
ที่ ทสภ. ทดม.และ ทภก.ก่อน โดยระบบนี้จะแสดงระยะเวลาที่ผู้โดยสารต้องรอคอยเข้าคิวในพื้นที่ตรวจบัตรโดยสาร ขั้นตอนตรวจค้นผู้โดยสาร และขั้นตอนตรวจหนังสือเดินทาง โดยสามารถตรวจสอบสถานะการรอคอยคิวผ่านจอมอนิเตอร์แบบ Real time ซึ่งจะทำให้ผู้โดยสารสามารถประเมินเวลาในการรอคอยในพื้นที่นั้นๆ อีกทั้งยังสามารถประเมินเวลาการมาใช้บริการภายในสนามบินได้ด้วยตนเอง โดยสามารถเช็กได้ผ่าน AOT Airports Application
ทั้งนี้ ระบบยังสามารถแจ้งเตือนเจ้าหน้าที่สนามบินในเรื่องของความหนาแน่นในพื้นที่นั้นๆ เพื่อให้สามารถบริหารจัดการกระจายผู้โดยสารไปยังจุดให้บริการที่มีความหนาแน่นน้อยกว่า และช่วยในเรื่องการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ได้ด้วย  

(3) ระบบจัดเก็บค่าบริการจอดรถยนต์แบบอัตโนมัติ (Smart Carpark) เป็นการให้บริการผู้โดยสารที่เข้ามา ใช้พื้นที่บริเวณอาคารจอดรถ ณ ทสภ. ทดม.และ ทภก. โดยผู้ใช้งานดำเนินการด้วยตนเองตั้งแต่การรับบัตรจอดรถ ค้นหาพื้นที่จอดรถ พร้อมแสดงจำนวนและตำแหน่งของช่องว่างที่สามารถจอดได้ ทั้งนี้ ระบบจะจดจำตำแหน่งที่จอดรถ ซึ่งผู้ใช้งานสามารถค้นหารถของตนเองจากทะเบียนรถ ได้ที่ตู้ Kiosk เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงจากการติดต่อและ สัมผัสร่วมระหว่างผู้ใช้งานและเจ้าหน้าที่ 

นายนิตินัย กล่าวว่า แม้ว่า AOT จะเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการและการอำนวยความสะดวกผู้ใช้บริการ  การพัฒนาสนามบินเพื่อเพิ่มพื้นที่ให้บริการ และเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับเที่ยวบินและผู้โดยสารก็ยังคง ต้องดำเนินต่อไป โดยโครงการพัฒนา ทสภ.ระยะที่ 2 มีความก้าวหน้ามากกว่า 95% ทั้งนี้ AOT อยู่ระหว่างการเตรียม ความพร้อมเพื่อเปิดใช้งานอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1  (Satellite 1 : SAT-1) โดยพิจารณาจากทิศทาง การฟื้นตัวของปริมาณการจราจรทางอากาศและความต้องการเดินทางในอนาคต ควบคู่กับการบริหารจัดการ อาคารผู้โดยสารหลัก (Main Terminal) โครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกของ ทสภ. ในภาพรวม อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งได้ให้ความสำคัญในเรื่องระดับการบริการ (Level of Service) ที่เหมาะสม และการรองรับรูปแบบการเดินทางวิถีใหม่ (New Normal) ทั้งนี้ ยังขึ้นอยู่กับแผนบริหารจัดการฝูงบินของสายการบินที่มีฐานปฏิบัติการ ณ ทสภ. ด้วย