ปลัดมหาดไทย ประชุมร่วมอธิบดีกรมโยธาฯ ผู้ว่าฯ พิจิตร อบจ.พิจิตร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สนองพระราชปณิธาน “ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมีความสุข” ติดตามความคืบหน้าโครงการปรับปรุงภูมิทัศน์ในพื้นที่บึงสีไฟ จังหวัดพิจิตร

ปลัดมหาดไทย ประชุมร่วมอธิบดีกรมโยธาฯ ผู้ว่าฯ พิจิตร อบจ.พิจิตร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สนองพระราชปณิธาน “ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมีความสุข” ติดตามความคืบหน้าโครงการปรับปรุงภูมิทัศน์ในพื้นที่บึงสีไฟ จังหวัดพิจิตร มุ่งมั่น “แก้ไขในสิ่งผิด” พัฒนาภูมิทัศน์และสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อให้เป็นพื้นที่แห่งความสุขที่ยั่งยืนของประชาชน

วันนี้ (12 พ.ค. 67) เวลา 13.00 น. นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมติดตามความคืบหน้าโครงการปรับปรุงภูมิทัศน์ในพื้นที่บึงสีไฟ จังหวัดพิจิตร ผ่านระบบ zoom meeting โดยมี นายพงศ์รัตน์ ภิรมย์รัตน์ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการปกครอง นายขจร ศรีชวโนทัย อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นายอดิเทพ กมลเวชช์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ ที่ปรึกษาสมาคมกีฬาจักรยานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ นายชูโชค ศิวะคุณากร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ผลิตภัณฑ์และวัตถุก่อสร้าง จำกัด นายศิริพันธ์ ศรีกงพลี รองอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ว่าที่ร้อยตรี ขรรค์ไชย ทันธิมา รองผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร นายพีรพงศ์ จันทรา ผู้อำนวยการสำนักสถาปัตยกรรม กรมโยธาธิการและผังเมือง นางสาวจุรีรัตน์ รัตนศิลา หัวหน้าสำนักงานจังหวัดพิจิตร นายบัณฑิต โพธิดก โยธาธิการและผังเมืองจังหวัดพิจิตร นางภคมน กัมพูธนี ท้องถิ่นจังหวัดพิจิตร นายสมพงษ์ หอมสนิท นายอำเภอเมืองพิจิตร นางอรัญญา เนตรผสม รองปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตร และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุม

นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า นับเป็นมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานแนวพระราชดำริในการพัฒนาพื้นที่บึงสีไฟซึ่งเป็นพื้นที่สาธารณะให้ก่อเกิดประโยชน์กับประชาชนอย่างหลากหลายและยั่งยืน ส่งผลให้เกิดการบูรณาการของหน่วยงานทั้งในส่วนกลางและในระดับพื้นที่เพื่อให้พื้นที่แห่งนี้ตอบโจทย์ความต้องการของพี่น้องประชาชนในการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและมีคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งมิได้เกิดประโยชน์แต่เพียงกับพี่น้องประชาชนชาวพิจิตร แต่รวมไปถึงชาวนครสวรรค์ ตลอดจนพี่น้องประชาชนในพื้นที่ภาคกลาง เพราะภายหลังจากพวกเราได้ร่วมกันน้อมนำแนวทางอันเนื่องมาจากพระราชดำริและพระบรมราโชบายมาดำเนินการในห้วงที่ผ่านมา ส่งผลทำให้บึงสีไฟแห่งนี้กลายเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพในการรองรับน้ำได้อย่างเต็มที่ ทั้งด้านการตัดมวลน้ำที่จะหลากลงไปท่วมพื้นที่ใต้บึงสีไฟ รวมถึงเป็นแหล่งกักเก็บน้ำในยามหน้าแล้ง

“แต่เดิมบึงสีไฟมีพื้นที่กว้างขวางมากถึงกว่า 12,000 ไร่ แต่เมื่อเวลาผ่านไปเกิดความเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ ทำให้ปัจจุบันบึงสีไฟลดขนาดลงเหลือพื้นที่ราว 5,390 ไร่ มีความลึกเฉลี่ยราว 1.5 – 2 เมตร ส่งผลให้จากสมัยก่อนเก็บน้ำได้ 10 ล้านลูกบาศก์เมตร เหลือศักยภาพสามารถกักเก็บน้ำได้เพียง 2 ล้านลูกบาศก์เมตร อันเกิดจากการตื้นเขินและการบุกรุก ส่งผลให้ฤดูฝนน้ำท่วมง่าย ฤดูแล้งมีน้ำไม่เพียงพอ แต่ทว่าด้วยพระมหากรุณาธิคุณจึงส่งผลให้เกิดความโชคดีของพี่น้องประชาชนชาวพิจิตรและคนไทยทุกคน ที่เป็นสิ่งที่พวกเราอาจไม่เคยรู้หรือหลงลืมว่าความสำเร็จของ “การพัฒนาบึงสีไฟ” ไม่ได้เริ่มต้นเพียงเมื่อ 1 ปีหรือ 2 ปีก่อน แต่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ได้เคยเสด็จพระราชดำเนินมายังพื้นที่แห่งนี้ตลอดระยะเวลา 9 ปีที่ผ่านมา และกราบบังคมทูลพระมหากรุณาจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการขอรับพระราชทานแนวทางการพัฒนาบึงสีไฟมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทั้ง 2 พระองค์ทรงเปรียบเสมือน “นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ” ที่คนไทยจำนวนไม่น้อยไม่เคยรู้ว่า พระองค์ทรงเป็นเบื้องหลังของการวางแนวทางเพื่อพัฒนาบึงสีไฟมาเป็นระยะเวลายาวนาน ด้วยทรงมุ่งหวังให้บึงสีไฟเป็น “แก้มลิง” สำหรับกักเก็บน้ำจำนวนมาก เริ่มตั้งแต่การขุดลอกบึงสีไฟให้มีพื้นที่กักเก็บน้ำเพิ่มมากขึ้นเฉกเช่นในอดีต และเพื่อให้มีความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศ ทั้งสัตว์น้ำ พืชน้ำ และเป็นสถานที่พักผ่อน สันทนาการ ออกกำลังกาย ของพี่น้องประชาชนทุกคน ซึ่งในระยะที่ 1 โดยความร่วมมือของกระทรวงมหาดไทย ภาคราชการ ตลอดจนภาคเอกชน คือ SCG ทำให้ปัจจุบัน บึงสีไฟสามารถกักเก็บน้ำได้มากถึง 12 ล้านลูกบาศก์เมตร นอกจากนี้ ด้วยพระราชประสงค์ที่ทรงอยากให้บึงสีไฟได้เป็นพื้นที่ที่ประชาชนชาวพิจิตรและคนไทยได้ใช้ประโยชน์มากกว่าการเป็นอ่างเก็บน้ำตามธรรมชาติ ภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องจึงได้ร่วมกัน ทำให้บึงสีไฟ มีความร่มรื่น มีภูมิทัศน์ที่สวยงาม และมีเลนปั่นจักรยานรอบบึงระยะทาง 10.28 กิโลเมตร และสนามจักรยานประเภทต่าง ๆ คือ สนามจักรยาน BMX สนามขาไถ สนามปั๊มแทรค และสนามเด็กเล่นสร้างปัญญา ซึ่งทางจังหวัดพิจิตรเสนอให้บึงสีไฟเป็นโครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 และได้รับพระราชทานชื่อสนามจักรยานว่า “สนามจักรยานสราญจิตมงคลสุข” อันเป็นมงคลนามสะท้อนหมายความว่า สนามจักรยานเป็นสถานที่ทำให้ใจสำราญเป็นมงคลและสุขสบาย โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดโครงการพัฒนาบึงสีไฟเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 และทรงเปิดสนามจักรยาน “สราญจิตมงคลสุข” ณ บริเวณโครงการพัฒนาบึงสีไฟเฉลิมพระเกียรติ ฯ อำเภอเมืองพิจิตร จังหวัดพิจิตร เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา” นายสุทธิพงษ์ กล่าวในช่วงต้น

นายสุทธิพงษ์ กล่าวต่ออีกว่า ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นเครื่องยืนยันว่า พระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่สะท้อนผ่านพระราชดำรัสที่พระราชทานแก่ข้าราชบริพารในพระองค์เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2563 ความว่า “ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมีความสุข แก้ไขในสิ่งผิด สืบสานในพระราชปณิธาน ภายใต้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอได้เชิญไปประดิษฐานในทุกศาลากลางจังหวัดและที่ว่าการอำเภอ เพื่อให้เราคำนึงถึงเป้าหมายการทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “การพัฒนาบึงสีไฟ” ให้เป็นพื้นที่แห่งความสุขที่ยั่งยืน เพราะคนมหาดไทยมุ่งมั่นในการดำเนินการตามแนวพระราชดำริ ทั้งเรื่องปรับปรุงภูมิทัศน์ และการทำให้สนามจักรยานบึงสีไฟที่ได้รับการรับรองว่าเป็น “เส้นทางรอบบึงธรรมชาติที่สวยที่สุดในโลก” ยังคงรักษาระดับมาตรฐานระดับโลกนี้อย่างยั่งยืน ด้วยการ 1) ดูแลรักษาสภาพแวดล้อมและสิ่งปลูกสร้างของบึงสีไฟ โดยให้ความสำคัญกับการบริหารปริมาณและคุณภาพน้ำ เพื่อสร้างความอุดมสมบูรณ์ให้ระบบนิเวศมากขึ้น และดูแลความปลอดภัยช่องทางเข้า-ออก และการใช้ประโยชน์อื่น ๆ 2) คำนึงถึงการเชื่อมโยงความร่วมไม้ร่วมมือของพี่น้องประชาชนกับบึงสีไฟให้เป็นรูปธรรม ทั้งความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน การเชื่อมโยงทุกภาคีเครือข่ายด้วยการมีกิจกรรมกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งงานวัฒนธรรม ประเพณี สิ่งแวดล้อม งานส่งเสริมการท่องเที่ยว งานกีฬา งานส่งเสริมให้คนมีการศึกษา มีความใกล้ชิดกับระบบนิเวศ ดูนก ดูปลา ดูพืชน้ำ และการสร้างอัตลักษณ์พื้นที่ชุมชน 3) การสร้างระบบบริหารจัดการเพื่อความยั่งยืน ด้วยการกำหนดกฎระเบียบ การตั้งทีมคณะทำงาน “ทหารเสือพระราชาจิตอาสา” ในการทำให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมบริหารจัดการตามห้วงเวลา ทั้งระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว และ 4) มุ่งมั่นทำให้เกิดการ Change for Good ด้วย Passion และจิตวิญญาณของการเป็นข้าราชการที่ดีและพสกนิกรที่ดีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

“นอกจากนี้ ขอให้จังหวัดพิจิตรร่วมกับภาคีเครือข่ายทั้ง 7 ภาคี อันได้แก่ ภาคราชการ ภาคผู้นำศาสนา ภาควิชาการ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ภาคประชาชน และภาคสื่อสารมวลชน ได้ยกร่าง “แผนบริหารจัดการและพัฒนาบึงสีไฟให้เกิดความยั่งยืน” ที่ครอบคลุมในทุกมิติ และขอให้กรมการปกครองและกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ได้ดำเนินการยกร่างแนวทางการแต่งตั้งคณะทำงานดูแลรักษาความปลอดภัยและให้คำแนะนำประชาชนผู้ใช้บริการ โดยทั้งหมดให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 20 พฤษภาคม 2567 นี้ เพื่อจะได้ประชุมหารือในการพิจารณานำเสนอร่างแผนดังกล่าวไปยังคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องต่อไป และขอขอบคุณองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตร ที่ได้นำเสนอแผนการจัดทำรั้ว และห้องน้ำเพื่อให้บริการประชาชน ซึ่งได้ผ่านมติที่ประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตรแล้ว และสำหรับงบประมาณในด้านจัดทำรั้วต้นไม้เพื่อให้เกิดประโยชน์ทั้งการป้องกันความปลอดภัยและความสมบูรณ์ของธรรมชาตินั้น กระทรวงมหาดไทยจะได้หารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการต่อไป” นายสุทธิพงษ์ กล่าวในช่วงท้าย

ด้าน นายพงศ์รัตน ภิรมย์รัตน์ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง กล่าวว่า กรมโยธาธิการและผังเมือง ได้น้อมนำแนวทางอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ดำเนินการหารือร่วมกับจังหวัดพิจิตร และองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตร เพื่อปรับปรุงภูมิทัศน์และพัฒนาต่อยอดให้เกิดการส่งเสริมให้ประชาชนสามารถใช้พื้นที่แห่งนี้ให้มีความปลอดภัยและมีความสุขอย่างยั่งยืน โดยจะดำเนินการพัฒนาในระยะต่อไป ได้แก่ 1) ทางจักรยานรอบบึงสีไฟ โดยดำเนินการจัดทำรั้วต้นไม้ ด้วยการปลูกไทรเกาหลี ความสูง 1 เมตร ด้านทิศตะวันตกและทิศใต้ (ขนานกับถนนทางหลวงชนบท) ความยาว 5,200 เมตร ด้านทิศตะวันออก (ส่วนที่ติดกับส่วนราชการ จำนวน 6 หน่วยงาน ความยาว 2,500 เมตร และ 2) สนามจักรยานสราญจิตมงคลสุข ได้ดำเนินการออกแบบและติดตั้งรั้วสำเร็จรูป (รั้วโปร่ง) และประตูทางเข้า-ออก รวม 5 จุด โดยรอบสนามจักรยาน และออกแบบการปลูกไม้พุ่มเป็นรั้วต้นไม้ตามแนวรั้วสำเร็จรูป ความยาว 470 เมตร แบ่งเป็น ไม้พุ่มเตี้ย ความสูง 0.30 เมตร ได้แก่ ต้อยติ่งฝรั่ง เฟื่องฟ้า ยี่โถแคระ บานบุรีแคระ ตามแนวด้านหน้า ไม้พุ่มกลาง ความสูง 1 เมตร ได้แก่ คริสติน่า สนหอม บริเวณด้านในติดกับแนวรั้วสำเร็จรูป และไม้พุ่มสูง ความสูง 2 เมตร ได้แก่ ไทรเกาหลี ไทรอินโด ข่อย เป็นวงกลมรอบเสาไฟฟ้าคอนกรีตเดิม