เผยแพร่ |
---|
สถานการณ์เมียนมาได้เสนอ”บทเรียน”อันแหลมคมยิ่ง ต่อการเมืองโลก และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต่อการเมืองในสังคมไทยปัจจุบัน
เตือนให้ตระหนักในวงจรการเมืองระหว่าง”การเลือกตั้ง”กับ“รัฐประหาร”ว่าดำเนินไปอย่างไร
วงจรในลักษณะนี้ถูกเรียกว่าเป็น”วงจรอุบาทว์”
เพียงแต่ภายในความอุบาทว์อันเกิดขึ้นและต่อเนื่องเป็นเครื่องมือที่ไม่ว่าทหารเมียนมา ไม่ว่าทหารไทย เลือกที่จะใช้โดย หวังว่าจะสามารถแก้ปัญหาได้
หากมองในลักษณะประวัติศาสตร์ของเมียนมาก็เริ่มตั้งแต่ยุคของนายพลเนวิน หากมองในลักษณะประวัติศาสตร์ของไทยก็ เริ่มตั้งแต่ยุคของ จอมพล ป.พิบูลสงคราม
แต่ละครั้ง แต่ละสถานการณ์ ก็มีนักวิชาการสรุปเป็นบทเรียน มาอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะความสงสัยที่ว่าจะนำมาตรการทางการทหารมาแก้ปัญหาทางการเมืองได้หรือไม่
มองเฉพาะหน้าอาจสามารถจัดการได้โดยละม่อม แต่มองอย่างเป็นกระบวนการกลับเป็นการสร้างปัญหาใหม่
บทเรียนจากกรณี อองซาน ซูจี ของเมียนมาจึงมีความหมาย
ลักษณะพิเศษก็คือ เมื่อรัฐประหารแล้วทหารเมียนมาก็จำเป็นต้องจัดการเลือกตั้ง ทั้งเพื่อผ่อนคลายและเพื่อสร้างความชอบธรรมให้ กับการสืบทอดอำนาจ
เพียงแต่เมื่อจัดการเลือกตั้งชัยชนะกลับเป็นของ อองซาน ซูจี มิได้เป็นของกลุ่มทหารที่กุมอำนาจ
หนทางออกของกลุ่มทหารจึง”ยึดอำนาจ”โดย”รัฐประหาร”
การรัฐประหารอาจทำให้กองทัพสามารถยึดครองและสืบทอดอำนาจของตนได้ แต่เมื่อมีความจำเป็นต้องจัดการเลือกตั้งก็ประสบความพ่ายแพ้อีกแล้วก็รัฐประหารอีก
แพ้อย่างต่อเนื่องกลุ่มทหารที่กุมอำนาจก็มิได้สรุปบทเรียนว่า ที่พ่ายแพ้เพราะการบริหารไม่เข้าตาประชาชน และประชาชนต้องการใช้การเลือกตั้งมาเป็นอาวุธในการต่อสู้
เมื่อไม่มีการสรุป เมื่อไม่มีการแก้ไขวงจรอุบาทว์ก็แผลงฤทธิ์ใส่กลุ่มทหาร เซาะกร่อนบ่อนทำลายอำนาจทหาร
ความพ่ายแพ้อย่างต่อเนื่องของกลุ่มทหารในเมียนมาสะท้อนให้เห็นอย่างเด่นชัดว่าประชาชนปฏิเสธอย่างเป็นรูปธรรม
การปฏิเสธที่นุ่มนวลที่สุดคือปฏิเสธผ่าน”การเลือกตั้ง”
แม้จะเด่นชัดหลายครั้งหลายหนกลุ่มทหารที่กุมอำนาจก็ยังไม่ยอมรับในจุดอ่อนและความไม่เหมาะสมของตนบนเวทีทาง การเมือง ในที่สุดก็อาจต้องพ่ายแพ้ในทางการทหาร
เป็นความพ่ายแพ้จากปัจจัย”ภายใน” และการไม่ได้รับการสนับสนุนจากปัจจัย”ภายนอก”เหมือนอย่างในอดีต