เผยแพร่ |
---|
หากคิดจะเอาดีในทาง“การเมือง”ผ่านบทของ”นักการเมือง”จำเป็น ต้องสนใจ “ประวัติศาสตร์”
ไม่ว่าประวัติศาสตร์”ยุคใกล้”
ไม่ว่าประวัติศาสตร์”ยุคไกล”
ไม่ว่าประวัติศาสตร์ของ “ไทย” ไม่ว่าประวัติศาสตร์ของไทต่างด้าว ท้าวต่างแดน
เพราะว่า “ประวัติศาสตร์” คือ “บทเรี่ยน”
ล้องย้อนกลับไปดู “วิถี” ของคนในประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นโจโฉในยุคสามก๊ก ไม่ว่าจะเป็น จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ล้วนสนใจ”ประวัติศาสตร์”
เพราะประวัติศาสตร์คือ บทเรียนแห่ง”อำนาจ”
สิ่งที่จะต้องให้ความสนใจสำหรับประวัติศาสตร์การเมืองของไทย คือประวัติศาสตร์ของ”รัฐประหาร”
ขอให้ศึกษา”วิถี”ของผู้ได้อำนาจจาก”รัฐประหาร”
มีเพียง จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เท่านั้นที่อนิจจกรรมในตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี”
แต่เมื่อ”ล่วง”ไปแล้วเป็นอย่างไร
ก็ถูก จอมพลถนอม กิตติขจร นั้นเองใช้มาตรา 17 ยึดทรัพย์ในกองมรดกเข้าแผ่นดิน
เพราะว่าเป็นทรัพย์สกปรก ได้มาโดย”โกงกิน”
ขอให้ดู จอมพลถนอม กิตติขจร ขอให้ดู พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ซึ่งมาโดย”รัฐประหาร” และไม่ยอมอำลาไปตามวิถีอันชอบอันควร
ล้วนแต่ต้องออกจาก”ตำแหน่ง”อย่างไม่เต็มใจ
ปมเงื่อนอันละเอียดอ่อนเป็นอย่างยิ่งอยู่ตรงที่คนเหล่านี้ไม่ยอมลงจาก “อำนาจ”เมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม
นั่นก็คือ ต้องการสืบต่อ และต่อท่อแห่ง”อำนาจ”
จอมพลถนอม กิตติขจร จึงถูกไล่ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ จึงต้องถูกบีบให้ออก
มีแต่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ที่บอก”ผมพอแล้ว”
เพราะ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ สำเหนียกดีว่า “กองหนุน”เริ่มร่อยหรอ
จึงลงจาก”หลังเสื่อ”โดยไม่ถูกเสือ”ขม้ำ”