การเมืองไทยได้เข้าสู่โหมดแห่งลับ ลวง พราง อย่างร้อนแรงและคมแหลมอย่างน่าติดตาม

ไม่ว่าจะมองจาก”รัฐบาล” ไม่ว่าจะมองจาก”ฝ่ายค้าน”

เหมือนกับว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อยู่ในลักษณะถอยร่น ไม่ว่าจะมองผ่านคำสั่ง 24 สิงหาคม ไม่ว่าจะมองผ่านคำวินิจฉัย 30 กันยายน

เพราะจากคำสั่ง 24 สิงหาคม เท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้แก่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สำแดงบทบาทว่าสามารถเข้าไปแทนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้

และพลันที่ปรากฏคำวินิจฉัย 30 กันยายน ก็เท่ากับได้กลาย เป็นเงื่อนไขอันเป็นเดดล็อกทางการเมือง ถึงอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็อยู่ได้ไม่เกินเดือนเมษายน 2568

นั่นหมายถึงการประนอมประโยชน์ระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จักต้องเกิดขึ้นอันนำไปสู่กระบวนการ”แบ่งครึ่ง”ในทางการเมือง

ความสนุกอย่างยิ่งอยู่ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะแบ่งให้ใคร แบ่งให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ

หรือว่าแบ่งให้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล มากกว่า

 

คำถามทางการเมืองในลักษณะแบ่งรับแบ่งสู้เช่นนี้เองที่ทำให้หลายคนในพรรคฝ่ายค้านมีความคึกคัก มองเห็นช่องทางที่จะทะลวงเข้าไปในลักษณะเสี้ยม

นั่นก็คือ แยกระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ ออกจากกัน

นั่นก็คือ การเสนอเงื่อนไขว่าสามารถร่วมกับทุกพรรคการ เมืองซึ่งเคยเป็นรัฐบาลได้ ขอเพียงอย่างเดียวคือ ไม่มี พล.อ.ประ ยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นตัวเลือก

นั่นก็คือ ไม่เกี่ยงว่าเป็น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ นั่นก็คือ ไม่เกี่ยงว่าเป็นพรรคพลังประชารัฐ พรรคภูมิใจไทย พรรคประชาธิ ปัตย์ พรรคชาติไทยพัฒนา

เป้าหมายเพียงแต่สามารถขจัด พล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา

ออกไปและเริ่มสถานการณ์”ใหม่”ในทางการเมืองขึ้นมา

 

ด้านหนึ่ง สังคมสัมผัสได้ในกลยุทธ์และความพยายามอันเฉียบคม จากทางด้านฝ่ายค้าน ด้านหนึ่ง สังคมสัมผัสได้ในการดำรงอยู่ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

เหมือนกับกำลังถูกรุกไล่ กดดัน อย่างหนักหน่วง รุนแรง

กระนั้น อำนาจก็ยังอยู่ในมือของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลไกการเมืองก็ยังเป็นคุณ ให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

คำถามก็คือ ใครกันแน่ที่เล่นบท ลับ ลวง พราง การเมือง