เผยแพร่ |
---|
เมื่อมองภาพอันสะท้อนลักษณาการแห่งความไร้ระเบียบ การละเมิดขนบในทางกฎหมาย มักจะมองเห็นแต่ในด้านของชาวบ้าน ในด้านของประชาชน
อย่างเช่นกรณี “ชายจูบชาย” ในกรณีของ LGBTQ อย่างเช่นกรณีของ “อาม่าตบเด็ก”และเด็กเอาคืน
แต่มักจะมองข้ามบทบาทของ “รัฐ” ของ “กลไกอำนาจรัฐ”
ถามว่ากรณีของที่ดินกว่า 1,700 ไร่มีจุดเริ่มต้นมาอย่างไรและมือแห่งกฎหมายที่ดำเนินไปอย่างผ่อนปรนมีรากฐานมาอย่างไร
ล้วนมาจาก “กรมป่าไม้” ล้วนมาจาก”ส.ป.ก.”
ถามว่ากรณีที่หลายคนซึ่งย้ายจากค่ายพรรคเพื่อไทยไปอยู่กับพรรคพลังประชารัฐแล้วได้รับการโปรโมชั่นอย่างเต็มที่
มิใช่การเปิดไฟเขียวให้ของ “รัฐ”และ”กลไกอำนาจรัฐ”หรอกหรือ
มีตัวอย่างมากมายอันกลายเป็นความกังขาในหมู่ประชาชน จากการ เลือกปฏิบัติ
อย่างเช่นกรณี ส.ส.ถือครองหุ้น “สื่อ”
ท่าทีต่อ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นอย่างหนึ่ง ท่าทีต่อ ส.ส.อื่นๆอีกจำนวนไม่น้อยกลับเป็นอีกอย่างหนึ่ง
เป็นท่าทีตั้งแต่ “ต้นธาร” ถึง “ปลายธาร”
ขณะที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หมดสมาชิกภาพแห่งส.ส.ไปแล้วโดยสิ้นเชิง แต่คดีอันเกี่ยวกับ ส.ส.คนอื่นๆโดยเฉพาะที่อยู่ในพรรค ร่วมรัฐบาลกลับไม่มีอะไรคืบหน้า
ทั้งนี้ แทบไม่ต้องกล่าวถึงนักการเมืองบางคนที่ย้ายจากค่ายเก่าไปอยู่ค่ายใหม่ สามารถรอดพ้นจากคดีความและกรงเล็บแห่งกฎหมายได้อย่างราบรื่น
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นภาวะไร้ระเบียบอันมาจาก “อำนาจรัฐ”ทั้งสิ้น
นักทฤษฎีในทางรัฐศาสตร์อาจสรุปจากความจัดเจนในทางประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจากต่างประเทศหรือในประเทศก็ตามว่านี่คือ สถานการณ์ในห้วงแห่งการเปลี่ยนผ่าน
นั่นก็คือ บังเกิดสภาวะ “ไร้ระเบียบ” สังคมดำรงอยู่ในลักษณะ อันเป็น “อนาธิปไตย”
ไม่เพียงแต่ “ประชาชน” จะปฏิเสธความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย
หากแต่ที่สำคัญเป็นอย่างมากมีการละเมิดกฎหมายโดย”อำนาจ รัฐ” ผ่านแต่ละ “กลไก” แห่ง”อำนาจรัฐ”
ในที่สุด ความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายก็จะค่อยๆหมดไป