เผยแพร่ |
---|
สถานการณ์โควิด-19 เป็นสถานการณ์อันนำไปสู่การตรวจสอบใน ทางความคิด ในทางการเมือง อย่างแหลมคมและรุนแรงอย่างไม่เคยปรากฎมาก่อน
ที่เคยพูดกันถึง”เศรษฐกิจ ดิจิทัล” ที่เคยพูดกันถึง”ไทยแลนด์ 4.0”นั้นคิดอย่างไร คิดจริงจังหรือไม่
หรือเสมอเป็นเพียง “น้ำยาบ้วนปาก”ในทาง”การตลาด”
ที่เคยเห็นว่าจำเป็นที่สังคมไทยจะต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับเทคโนโลยีใหม่ที่หลั่งไกลกันเข้ามาอย่างรวดเร็วนั้นได้มีการปรับตัวอย่างแท้จริงเพียงใด
เมื่อเผชิญกับสภาพความเป็นจริงแล้วอวดอ้างในเรื่องปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ออกมาแล้วผลเป็นอย่างไร
บทเรียนจาก”เราไม่ทิ้งกัน”จึงเหมือนกับสันปันน้ำสำคัญ
ทั้งๆที่โครงการ”เราไม่ทิ้งกัน”มาจากกระทรวงการคลัง ทั้งๆที่โครง การนี้มีเป้าหมายเพื่อ “แจกเงิน” เพื่อช่วยเหลือและเยียวยาประชา ชนในห้วงแห่งการแพร่ระบาดของไวรัส
นี่เป็นโครงการที่ควรจะสร้างคะแนนและความนิยมให้เกิดความชื่นชมต่อรัฐบาล
แต่ผลกลับกลายเป็นโครงสร้างที่สร้างความไม่พอใจ
แต่ผลกลับกลายเป็นการสร้าง”ม็อบ”ให้เกิดขึ้นไม่เพียงแต่ที่หน้ากระทรวงการคลัง หากแต่ยังแพร่ระบาดผ่านการเข้าแถวยาว เหยียดไม่ว่าที่เชียงใหม่ ไม่ว่าที่หาดใหญ่ ไม่ว่าในกทม.
จำนวนประชาชนที่แจ้งความจำนงเกือบ 30 ล้านคือภาพสะท้อนแห่งความล้มเหลวทางเศรษฐกิจ และกลายเป็นชนวนก่อความไม่พอใจในทางสังคม
คนที่จะตกเป็น”จำเลย”คือรัฐบาล คือกระทรวงการคลัง
เพียงจากโครงการ”เราไม่ทิ้งกัน”เพียงโครงการเดียวก็สะท้อนให้สัมผัสได้ในจุดอ่อนและความเป็นจริงแห่งความเป็น”รัฐราชการรวมศูนย์”อย่างครบถ้วนบริบูรณ์
รัฐแบบนี้ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความเคารพและเชื่อมั่นต่อ ประชาชน
หากดำเนินไปในแบบ”คุณพ่อรู้ดี” คุณพ่อถูกต้องทุกอย่าง
เมื่อไม่เคารพและให้ความเชื่อมั่นต่อประชาชนจึงมากด้วยกฎระเบียบและพร้อมที่จะคัดประชาชนออกไปจากวงจรแห่งการช่วยเหลือ
ในที่สุดแม้จะเป็นโครงการ”แจกเงิน” แต่กลับสร้างความไม่พอใจให้อย่างกว้างขวาง
กลายเป็นภาพฟ้องและประจาน”รัฐราชการรวมศูนย์”