E-DUANG : ย้อนภาพเก่า ณรงค์ กิตติขจร มายังภาพ ธรรมนัส พรหมเผ่า

สถานการณ์ “หน้ากากอนามัย” กำลังเลื่อนไหลและละม้ายเหมือนกับ สถานการณ์ “เข้าคิวซื้อข้าว” อันเกิดขึ้นในห้วงก่อนเหตุการณ์เดือนตุลาคม ๒๕๑๖

เหมือนกันอย่างไร

เหมือนกันเพราะปัญหาเกิดจาก “อำนาจรัฐ” ที่บิดเบือนตลาด บิดเบือนสภาพความเป็นจริง

เรื่องที่ไม่ควรเป็นปัญหาก็กลายเป็นปัญหา

เป็นความอุกอั่ง ไม่พอใจ เหมือนกับที่ประสบเข้ากับสถานการณ์ของการล่าสัตว์ป่าที่เซซาโว่ ทุ่งใหญ่นเรศวร โดยกลุ่มทหาร ตำรวจ และพลเรือนที่นำโดย พ.อ.ณรงค์ กิตติขจร

หากจับสถานการณ์”หน้ากากอนามัย”ไปสอดสวมกับสถานการณ์ก่อน ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ จะเข้าใจ

 

สถานะของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า กำลังเคลื่อนเข้าไปใกล้กับสถานะ ของ พ.อ.ณรงค์ กิตติขจร มากยิ่งขึ้นเป็นลำดับ

เริ่มต้นจาก “ข่าวลือ” แล้วก็ปรากฏเป็น”ข่าวจริง”

พ.อ.ณรงค์ กิตติขจร แสดงบทบาทอย่างคึกคักในห้วงหลังรัฐประ หารเมื่อเดือนพฤศจิกายน ๒๕๑๔ นั่นก็คือ บทบาทเลขาธิการกปต. บทบาทในการปราบทุจริต

แต่บทบาทเหล่านี้ก็ไม่สามารถกลบภาพ พ.อ.ณรงค์ กิตติขจร ที่นำลูกน้องไปพังป้อมยามตำรวจลงได้

ขณะเดียวกัน ข่าวลืออันเกี่ยวกับ พ.อ.ณรงค์ กิตติขจร ก็ทะยอย กันออกมาอย่างเป็นระบบ ไม่ว่าข่าวการพูดกับทหารที่หินร่องกล้า ไม่ว่าข่าวการแสดงอิทธิพลต่างๆ

ขอให้ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ลองย้อนเอาภาพเก่า พ.อ.ณรงค์ กิตติขจร มารีวายนด์แล้วก็จะนึกออก

 

ภาพของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เมื่อนำมาผนวกเข้ากับรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็สอดคล้องอย่างเหมาะเจาะ

แม้มีเสียงตะโกน”พายเรือให้โจรนั่ง”ดังจากพรรคประชาธิปัตย์

แม้มีการเปิดโปงในเรื่องคนของ”รัฐมนตรี”บางคนเข้าไปพันพัวกับ การกักตุน”หน้ากากอนามัย”

แต่ก็ได้รับการปกป้องจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

ทั้งนี้ แทบไม่ต้องย้อนกลับไปเอาคดีเก่าที่ออสเตรเลียและกรณีการขนแป้งมันเข้ามาผนวกรวมพิจารณา

นี่คือภาพเชิงซ้อนกับกรณี พ.อ.ณรงค์ กิตติขจร