เผยแพร่ |
---|
เหมือนกับสถานการณ์วันที่ 26 พฤศจิกายน จะเป็น”เส้นตาย”ของ นักการเมือง
เพราะเป็นวันสุดท้ายของการสังกัด”พรรค”ภายใน 90 วัน
จึงได้เห็นการเดินออกจากพรรคเพื่อไทยของอดีตส.ส.กำแพงเพชร เพื่อไปเป็นส่วนหนึ่งในพรรคพลังประชารัฐ
ท่ามกลางการต้อนรับจาก นายอุตตม สาวนายน
จึงได้เห็นการไหลเข้าไปของกลุ่มบ้านริมน้ำที่พรรคพลังประชารัฐ ตามมาด้วยคำประกาศอันเหี้ยมหาญจากปาก นายสุชาติ ตันเจริญ
เข้าพรรคพลังประชารัฐเพื่อทวงคืน “ประชาธิปไตย” มาจาก “เผด็จการ”
น่าติดตามอย่างยิ่ง
ท่วงทำนองไม่ว่าจะมาจาก นายสุชาติตันเจริญ ไม่ว่าจะมาจาก พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ ไม่ว่าจะมาจาก นายอำนวย คลังผม
ฝากความหวังไว้กับพรรคพลังประชารัฐ
1 นโยบายที่สนองรับกับความต้องการของประชาชน
1 ความมั่นใจที่จะก้าวข้ามความขัดแย้ง และเดินหน้าไปสู่การปรองดองอย่างเป็นจริง
1 เพื่อที่ประเทศจะได้เดินไปข้างหน้า
เหมือนกับถ้อยแถลงอย่างนี้จะติดอยู่กับ 2 ริมฝีปากของนัก การเมืองด้วยความเคยชิน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อตัดสินใจย้าย จากพรรคการเมืองหนึ่งไปยังอีกพรรคการเมืองหนึ่ง
กระนั้น เมื่อกล่าวในสถานการณ์อันเป็นความต่อเนื่องหลังการรัฐประหารใหญ่ 2 ครั้ง จากปี 2549 มายังปี 2557 จึงทรงความหมายเป็นอย่างสูง
เท่ากับเป็นการฝากความมั่นใจให้กับพรรคพลังประชารัฐ เท่ากับฝากความมั่นใจให้กับพลังอันมาจากรัฐบาลคสช.
จะเป็นจริงได้มากน้อยเพียงใด
คำถามเหล่านี้มิได้อยู่ไกลจนเกินคว้า ตรงกันข้าม คำตอบจะเห็นได้อย่างเด่นชัดในการเลือกตั้ง
คำตอบ 1 มาจากการตัดสินใจของ “ประชาชน”
หากประชาชนเทคะแนนให้กับพรรคพลังประชารัฐ เท่ากับนักการเมืองเหล่านี้คิดไปในทางเดียวกันกับประชาชน
คำตอบ 1 มาจากตัวตนของ”พลังประชารัฐ”เอง