“ทรมานศาสตร์ : ภูมิปัญญาซีไอเอ” โดย เกษียร เตชะพีระ

เกษียร เตชะพีระ
The body of Ernesto "Che" Guevara, the Argentine-born hero of Latin American revolutionaries and six other guerillas are on public display 10 October 1967 in Vallegrande. Guevara was captured by Bolivian forces and CIA agents 08 October and shot dead the next day.(FILM) AFP PHOTO / AFP PHOTO / MARC HUTTEN

หมายเหตุ : บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 5 ก.ย. 2557

 

ข่าวคราวจากต่างประเทศระยะหลังนี้ทำให้ผมนึกถึงข้อมูลข่าวสารที่เคยรวบรวมไว้เมื่อ 10 ปีก่อน ครั้งทนายสิทธิมนุษยชนและประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิม คุณสมชาย นีละไพจิตร ถูกอุ้มหายไป (disappeared) โดยเกี่ยวเนื่องกับคดีการก่อความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เพิ่งปะทุขึ้นมาใหม่ตอนนั้น

ปรากฏว่าเพียง 1 วันก่อนคุณสมชายจะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจกลุ่มหนึ่งบังคับพาตัวหายสาบสูญไป ท่านได้เขียนจดหมายลงวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ.2547 ถึงหัวหน้าส่วนราชการผู้รับผิดชอบขอให้สอบสวนข้อเท็จจริงกรณีผู้ต้องหาคดีร่วมกันเผาโรงเรียนและปล้นปืนจากกองพันทหารพัฒนาที่ 4 จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 4 มกราคม ศกเดียวกัน จำนวน 5 คน ได้บอกเล่าและเปิดเผยหลักฐานรอยบอบช้ำบนร่างกายแก่ทนายสมชายและคณะว่าพวกตนถูกตำรวจชุดจับกุมซ้อม ทำร้ายร่างกายและขู่บังคับให้รับสารภาพขณะถูกคุมตัวอยู่ที่ สภ.ต.ตันหยง จ.นราธิวาส

ดังมีข้อความสำคัญบางตอนในจดหมายว่า :

“1. ผู้ต้องหาที่ 1 ถูกใช้ผ้าผูกตาทั้งสองข้าง และถูกเตะบริเวณปากและใบหน้า ผลักให้ผู้ต้องหาที่ 1 ล้มลง และใช้เท้าเหยียบหน้าและมีคนปัสสาวะใส่หน้าและปาก ใช้ไฟฟ้าชอร์ตบริเวณลำตัวและบริเวณอวัยวะเพศถึง 3 ครั้ง

“2. ผู้ต้องหาที่ 2 ถูกใช้ผ้าปิดตาทั้งสองข้าง และเตะบริเวณลำตัว ใช้รองเท้าตบหน้าและบังคับให้นอน แล้วให้คนปัสสาวะรดหน้า

“3. ผู้ต้องหาที่ 3 ถูกใช้ผ้าปิดตาทั้งสองข้าง ถูกเตะบริเวณลำตัวหลายแห่ง ใช้มือตบบริเวณกกหูทั้งสองข้าง ใส่กุญแจมือไพล่หลัง ใช้เชือกมัดข้อเท้าทั้งสองข้าง และใช้ไฟฟ้าชอร์ตตามลำตัวและหลัง

“4. ผู้ต้องหาที่ 4 ถูกใช้ผ้าปิดตาทั้งสองข้าง บีบคอ ใส่กุญแจมือไพล่หลัง และใช้ไม้ตีด้านหลังจนศีรษะแตก ได้ใช้เชือกแขวนคอกับประตูห้องขัง ใช้มือทุบบริเวณลำตัวและได้ใช้ไฟฟ้าชอร์ตด้านหลัง

“5. ผู้ต้องหาที่ 5 ถูกใช้ผ้าปิดตาทั้งสองข้าง และถูกตบด้วยเท้าบริเวณหน้าและปาก ตบบริเวณกกหู ต่อยท้อง และใช้ไฟฟ้าชอร์ตหลายครั้ง

“ผลจากการกระทำดังกล่าว จำเลยทั้ง 5 คนต้องยอมรับสารภาพตามที่เจ้าพนักงานตำรวจประสงค์…”

(อุ้มทนายสมชาย นีละไพจิตร : บทสะท้อนวัฒนธรรมอำนาจนิยมในสังคมไทย, มิถุนายน 2547, น.67-69)

จากข้อมูลซ้ำๆ กันเหล่านี้ พอจะสังเกตเห็นแบบแผน (pattern) ดำเนินการที่เป็นระบบระเบียบวิธีการ (methodical) บางอย่างอยู่ คล้ายกับที่ผมเคยอ่านพบในนิยายปรัชญาการเมืองเรื่อง การิทัตผจญภัย (พ.ศ.2541) ของ ศาสตราจารย์สตีเว่น ลุกส์ ซึ่งตัวเอกประสบชะตากรรมถูกเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของรัฐบาลอำนาจนิยม เหยียบขยี้แว่น เอาผ้าผูกตา อุ้มหาย ขังเดี่ยว ห้ามอ่านเขียนพูด จนเจ้าตัวเริ่มหลงสถานที่และเวลา แล้วถูกเกลี้ยกล่อม กดดันให้เปลี่ยนความคิดหันมาทำงานให้รัฐบาลแทน ฯลฯ

เมื่อผมลองค้นคว้าดูก็พบเค้ารอยว่าแบบปฏิบัติดังกล่าวมีที่มาจากองค์การซีไอเอของสหรัฐอเมริกานั่นเอง

กล่าวคือ…

หลังสงครามเกาหลีหยุดยิง (ค.ศ.1950-1953) ทางการเกาหลีเหนือได้นำตัวเชลยศึกทหารอเมริกันที่จับได้ มาออกแถลงข่าวกล่าวประณามรัฐบาลอเมริกันของตนเองที่รุกรานเกาหลี ก่อนจะปล่อยตัวกลับมา

ทางการอเมริกันรู้สึกทึ่งว่าคอมมิวนิสต์เกาหลีเหนือมีวิธีการอย่างไรจึงสามารถ “ล้างสมอง” (brainwash) และเปลี่ยนความคิดพฤติกรรมทหารชาวอเมริกันให้หันมาแสดงตนเป็นปฏิปักษ์กับรัฐบาลของตัวได้ขนาดนั้น

ดังสะท้อนออกในนิยายเรื่อง The Manchurian Candidate ซึ่งตีพิมพ์เผยแพร่เมื่อปี ค.ศ.1959 และมาถูกตรวจพบภายหลังว่าลอกเลียนวรรณกรรมหลายตอน ที่ถูกฮอลลีวู้ดนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ถึง 2 ครั้งเมื่อปี ค.ศ.1962 และ 2004 เกี่ยวกับเชลยศึกชาวอเมริกันในสงครามเกาหลีที่ถูกคอมมิวนิสต์ล้างสมองให้กลับมาเป็นมือลอบสังหารนักการเมืองชั้นนำของอเมริกาเอง

(http://en.wikipedia.org/wiki/The_Manchurian_Candidate#Plagiarism_charge)

นอกจากองค์การข่าวกรองซีไอเอ (Central Intelligence Agency) ของอเมริกันจะสอบถามสัมภาษณ์เชลยศึกเหล่านี้ถึงวิธีการสอบสวนของคอมมิวนิสต์ที่พวกเขาประสบแล้ว ก็ยังร่วมกับแผนกปฏิบัติการพิเศษของกองกำลังเคมีแห่งกองทัพสหรัฐ ให้ทุนอุดหนุนการวิจัยและทดลองเรื่องนี้ผ่านแผนกข่าวกรองวิทยาศาสตร์ของซีไอเอเอง แก่นักวิชาการด้านจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยแม็กจิลของแคนาดา 2 คนคือ ดร.โดนัลด์ เฮ็บ กับ ดร.อีเวน คาเมรอน ในโครงการที่ชื่อว่า Project MKUltra หรือนัยหนึ่งโครงการควบคุมความคิดจิตใจ (mind control program) ซึ่งเริ่มต้นเมื่อปี ค.ศ.1953 เพื่อวิศวพฤติกรรมของมนุษย์ (behavioral engineering of humans) ด้วยการล่อลวงพลเมืองชาวอเมริกันและแคนาดาหลายคนมาเป็นหนูตะเภาทดลองโดยไม่รู้เท่าทันอย่างผิดกฎหมาย จนถูกสั่งให้ยุติโครงการทั้งหมดลงอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ.1973 (http://en.wikipedia.org/wiki/Mkultra)

ฐานคิดทฤษฎีที่นำเสนอโดยด็อกเตอร์จิตวิทยาชาวแคนาดาทั้งสองเพื่อนำไปสู่ปฏิบัติการล้างสมองเปลี่ยนความคิดพฤติกรรมได้แก่ Psychic Driving หรือการขับเคลื่อนความคิดจิตใจ อันประกอบไปด้วย 2 ส่วนได้แก่ 1. ERASE หรือลบล้างแบบแผนบุคลิกภาพเดิม (depatterning personality) ทิ้งเสียก่อน

จากนั้นจึงค่อย 2. REMAKE หรือปลูกสร้างแบบแผนบุคลิกภาพอันใหม่ให้บุคคลผู้นั้น

พวกเขาอธิบายว่าคนเรารู้ตัวว่าอยู่ที่ไหน? ตัวเองเป็นใคร? (self-awareness & self-identity) โดยผ่านภาพลักษณ์เกี่ยวกับเวลาและสถานที่ (a time and space image) ว่าตัวเองกำลังอยู่ที่ไหน เมื่อใด?

ภาพลักษณ์ดังกล่าว ค้ำจุนโดยปัจจัย 2 ประการได้แก่

1. ประสาทสัมผัสต่างๆ เช่น ตา หู จมูก ลิ้น กาย ซึ่งเปิดรับข้อมูลจากโลกภายนอก เช่น รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส เข้ามา ดังที่ทางพุทธเรียกว่าอายตนะ

และ 2. ความทรงจำ

ฉะนั้น หากทำลายหรือสกัดยับยั้งช่องทางประสาทสัมผัสเหล่านี้รวมทั้งความทรงจำลงเสียแล้ว ก็จะสามารถบั่นทอนบ่อนเบียนภาพลักษณ์เวลาและสถานที่ จนนำไปสู่การลบล้างความรู้สำนึกตัวและเอกลักษณ์ของบุคคลลงได้

วิธีการก็คือ 1. โดดเดี่ยวหรือขังเดี่ยวบุคคลผู้นั้น ไม่ให้เขาหรือเธอได้ติดต่อสัมพันธ์พบปะพูดคุยกับใครอื่น และทำให้ประสาทสัมผัสทุกช่องทางของเขาหรือเธอไม่มีโอกาสได้รับรู้สัมผัสกับสิ่งใดเลย (isolation & sensory deprivation) ว่างเปล่าแน่นิ่งมืดตื้อเงียบสนิทชาด้านปลอดตลอดเหมือนพรมลูกฟัก อาจเสริมด้วยการสะกดจิต ให้ยาหลอนประสาท รวมทั้งทำให้เจ็บปวด หวาดกลัว เคร่งเครียด วิตกกังวล และ

2. ใช้ไฟฟ้าชอร์ตร่างกายบุคคลผู้นั้นในโหลดที่หวังผลเหมาะสมตามผลจากการทดลอง โดยเชื่อว่าอาการ ช็อก (shock) ต่อร่างกายและประสาทสมองที่เกิดจากไฟฟ้าชอร์ตจะนำไปสู่การสูญเสียความทรงจำแต่เดิมไป

ผลของวิธีการ 1. + 2. รวมกัน จะทำให้บุคคลสับสน หลงเคว้ง ความจำเสื่อม กลายสภาพเหมือนกลับเป็นเด็กทารกใหม่ เห็นผู้สอบสวนและทรมานตนประหนึ่งพ่อแม่ผู้ปกครองที่ตนหวังพึ่งพาและยอมเชื่อฟัง

เมื่อ ERASE หรือลบล้างแบบแผนบุคลิกภาพเดิมทั้งความคิดจิตใจและความจำลงหมดสิ้นแล้ว สมองของเขาหรือเธอก็จะปลอดโล่งเสมือนแผ่นกระดานชนวนว่างเปล่า (clean slate, tabula rasa) เปิดช่องให้ผู้สอบสวนสามารถ REMAKE หรือปลูกสร้างแบบแผนบุคลิกภาพใหม่ขึ้นมา คล้ายกับเขียนหรือเอาโปรแกรมแบบแผนพฤติกรรมใหม่บันทึกลงไป ทำให้คนผู้นั้นกลายเป็นคนใหม่ที่กล้าและพร้อมทำสิ่งที่ไม่เคยคาดคิดว่าจะทำได้มาก่อน

วิธีการที่ใช้ในขั้นตอน REMAKE บุคลิกภาพใหม่คือการ sensory overload หรืออัดแน่นข้อมูลท่วมท้น ประเดประดังเข้าไปในประสาทสัมผัสจนมันเกาะกินติดตราตรึงแน่นฝังใจ เช่น เปิดเทปข้อความเดิมให้ฟังซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่หยุด, เปิดเสียงเพลงดังสนั่นลั่นหู, ใช้ไฟสปอตไลต์สว่างจ้ากราดส่องใส่หน้าตาตลอดเวลาทั้งวันทั้งคืน เป็นต้น

จากนั้นก็บอกให้บุคคลสารภาพผิด เผยข้อมูลความลับที่ต้องการออกมา เปลี่ยนบุคลิกพฤติกรรมเขาไป ฯลฯ

การสอบสวนแบบทรมานศาสตร์ตามแนวคิดทฤษฎีขับเคลื่อนความคิดจิตใจหรือนัยหนึ่งควบคุมความคิดจิตใจ+ล้างสมองไปในตัว ซึ่งค้นคว้าวิจัยทดลองขึ้นมาใน Project MKUltra นี้ได้พัฒนาจนประมวลสรุปผลออกมาเป็นคู่มือฝึกอบรม “ลับ” สำหรับเจ้าหน้าที่ซีไอเอและหน่วยข่าวกรองอื่นๆ ของทางการสหรัฐได้นำไปใช้ในงานสอบสวนนักโทษและเชลยศึกที่แข็งขืนในภาคสนาม ชื่อว่า Kubark Counterintelligence Interrogation Training Manual หรือคู่มือฝึกอบรมสอบสวนต่อต้านงานข่าวกรองคูบาร์ก (กรกฎาคม ค.ศ.1963, คำว่า Kubark เป็นรหัสที่ซีไอเอใช้เรียกตัวเอง ดูสำเนาเอกสารฉบับจริงซึ่งถูกนำออกมาเผยแพร่ต่อสาธารณะโดยอาศัยอำนาจกฎหมายเสรีภาพด้านข่าวสารของสหรัฐได้ที่ http://www.slideshare.net/UnitB166ER/kubark-counterintelligence-interrogation-training-manual-1963)

หลักวิธีการแห่งทรมานศาสตร์โดยภูมิปัญญาซีไอเอถูกสหรัฐอเมริกานำไปใช้ในสงครามเย็นกับคอมมิวนิสต์ ต่อเนื่องมายังสงครามต่อต้านการก่อการร้ายกับขบวนการการเมืองอิสลามทั่วโลกในปัจจุบัน ผลงานเชิงปฏิบัติรูปธรรมของมันถูกเปิดโปงปรากฏให้เห็นอย่างฉาวโฉ่ไม่ว่าที่คุกอาบู กราอิบในอิรัก, คุกอ่าวกวนตานาโมในคิวบา, คุกบากรัมในอัฟกานิสถาน เป็นต้น

แน่นอนว่าภูมิปัญญานี้ยังได้ถูกถ่ายทอดให้เจ้าหน้าที่ประเทศพันธมิตรของอเมริกาในสงครามทั้งสองอย่างใจกว้างไม่ว่าในละตินอเมริกา, ตะวันออกกลาง และเอเชียรวมทั้งไทยด้วย

อย่างไรก็ตาม บทสรุปของรายงานการสอบสวนเรื่องนี้โดยวุฒิสภาสหรัฐชี้ว่าวิธีการทรมานไม่เพียงผิดกฎหมายและหลักสิทธิมนุษยชน แต่ยังไม่ได้ผล เพราะไม่ได้ข่าวกรองที่สำคัญสำหรับต่อต้านการก่อการร้ายจริง (http://rt.com/usa/176884-leaked-post-911-torture-report/) ผู้ถูกทรมานมีแนวโน้มจะยอมรับสารภาพสิ่งที่ผู้สอบสวนและทรมานต้องการได้ยิน เพียงเพื่อให้การทรมานยุติลง

สถานะแท้จริงของมันจึงนับวันกลายเป็น “อวิชชา” มากกว่า “ศาสตร์” เข้าไปทุกที