ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 5 - 11 กันยายน 2557 |
---|---|
คอลัมน์ | การเมืองวัฒนธรรม |
ผู้เขียน | เกษียร เตชะพีระ |
เผยแพร่ |
หมายเหตุ : บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 5 ก.ย. 2557
ข่าวคราวจากต่างประเทศระยะหลังนี้ทำให้ผมนึกถึงข้อมูลข่าวสารที่เคยรวบรวมไว้เมื่อ 10 ปีก่อน ครั้งทนายสิทธิมนุษยชนและประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิม คุณสมชาย นีละไพจิตร ถูกอุ้มหายไป (disappeared) โดยเกี่ยวเนื่องกับคดีการก่อความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เพิ่งปะทุขึ้นมาใหม่ตอนนั้น
ปรากฏว่าเพียง 1 วันก่อนคุณสมชายจะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจกลุ่มหนึ่งบังคับพาตัวหายสาบสูญไป ท่านได้เขียนจดหมายลงวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ.2547 ถึงหัวหน้าส่วนราชการผู้รับผิดชอบขอให้สอบสวนข้อเท็จจริงกรณีผู้ต้องหาคดีร่วมกันเผาโรงเรียนและปล้นปืนจากกองพันทหารพัฒนาที่ 4 จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 4 มกราคม ศกเดียวกัน จำนวน 5 คน ได้บอกเล่าและเปิดเผยหลักฐานรอยบอบช้ำบนร่างกายแก่ทนายสมชายและคณะว่าพวกตนถูกตำรวจชุดจับกุมซ้อม ทำร้ายร่างกายและขู่บังคับให้รับสารภาพขณะถูกคุมตัวอยู่ที่ สภ.ต.ตันหยง จ.นราธิวาส
ดังมีข้อความสำคัญบางตอนในจดหมายว่า :
“1. ผู้ต้องหาที่ 1 ถูกใช้ผ้าผูกตาทั้งสองข้าง และถูกเตะบริเวณปากและใบหน้า ผลักให้ผู้ต้องหาที่ 1 ล้มลง และใช้เท้าเหยียบหน้าและมีคนปัสสาวะใส่หน้าและปาก ใช้ไฟฟ้าชอร์ตบริเวณลำตัวและบริเวณอวัยวะเพศถึง 3 ครั้ง
“2. ผู้ต้องหาที่ 2 ถูกใช้ผ้าปิดตาทั้งสองข้าง และเตะบริเวณลำตัว ใช้รองเท้าตบหน้าและบังคับให้นอน แล้วให้คนปัสสาวะรดหน้า
“3. ผู้ต้องหาที่ 3 ถูกใช้ผ้าปิดตาทั้งสองข้าง ถูกเตะบริเวณลำตัวหลายแห่ง ใช้มือตบบริเวณกกหูทั้งสองข้าง ใส่กุญแจมือไพล่หลัง ใช้เชือกมัดข้อเท้าทั้งสองข้าง และใช้ไฟฟ้าชอร์ตตามลำตัวและหลัง
“4. ผู้ต้องหาที่ 4 ถูกใช้ผ้าปิดตาทั้งสองข้าง บีบคอ ใส่กุญแจมือไพล่หลัง และใช้ไม้ตีด้านหลังจนศีรษะแตก ได้ใช้เชือกแขวนคอกับประตูห้องขัง ใช้มือทุบบริเวณลำตัวและได้ใช้ไฟฟ้าชอร์ตด้านหลัง
“5. ผู้ต้องหาที่ 5 ถูกใช้ผ้าปิดตาทั้งสองข้าง และถูกตบด้วยเท้าบริเวณหน้าและปาก ตบบริเวณกกหู ต่อยท้อง และใช้ไฟฟ้าชอร์ตหลายครั้ง
“ผลจากการกระทำดังกล่าว จำเลยทั้ง 5 คนต้องยอมรับสารภาพตามที่เจ้าพนักงานตำรวจประสงค์…”
(อุ้มทนายสมชาย นีละไพจิตร : บทสะท้อนวัฒนธรรมอำนาจนิยมในสังคมไทย, มิถุนายน 2547, น.67-69)
จากข้อมูลซ้ำๆ กันเหล่านี้ พอจะสังเกตเห็นแบบแผน (pattern) ดำเนินการที่เป็นระบบระเบียบวิธีการ (methodical) บางอย่างอยู่ คล้ายกับที่ผมเคยอ่านพบในนิยายปรัชญาการเมืองเรื่อง การิทัตผจญภัย (พ.ศ.2541) ของ ศาสตราจารย์สตีเว่น ลุกส์ ซึ่งตัวเอกประสบชะตากรรมถูกเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของรัฐบาลอำนาจนิยม เหยียบขยี้แว่น เอาผ้าผูกตา อุ้มหาย ขังเดี่ยว ห้ามอ่านเขียนพูด จนเจ้าตัวเริ่มหลงสถานที่และเวลา แล้วถูกเกลี้ยกล่อม กดดันให้เปลี่ยนความคิดหันมาทำงานให้รัฐบาลแทน ฯลฯ
เมื่อผมลองค้นคว้าดูก็พบเค้ารอยว่าแบบปฏิบัติดังกล่าวมีที่มาจากองค์การซีไอเอของสหรัฐอเมริกานั่นเอง
กล่าวคือ…
หลังสงครามเกาหลีหยุดยิง (ค.ศ.1950-1953) ทางการเกาหลีเหนือได้นำตัวเชลยศึกทหารอเมริกันที่จับได้ มาออกแถลงข่าวกล่าวประณามรัฐบาลอเมริกันของตนเองที่รุกรานเกาหลี ก่อนจะปล่อยตัวกลับมา
ทางการอเมริกันรู้สึกทึ่งว่าคอมมิวนิสต์เกาหลีเหนือมีวิธีการอย่างไรจึงสามารถ “ล้างสมอง” (brainwash) และเปลี่ยนความคิดพฤติกรรมทหารชาวอเมริกันให้หันมาแสดงตนเป็นปฏิปักษ์กับรัฐบาลของตัวได้ขนาดนั้น
ดังสะท้อนออกในนิยายเรื่อง The Manchurian Candidate ซึ่งตีพิมพ์เผยแพร่เมื่อปี ค.ศ.1959 และมาถูกตรวจพบภายหลังว่าลอกเลียนวรรณกรรมหลายตอน ที่ถูกฮอลลีวู้ดนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ถึง 2 ครั้งเมื่อปี ค.ศ.1962 และ 2004 เกี่ยวกับเชลยศึกชาวอเมริกันในสงครามเกาหลีที่ถูกคอมมิวนิสต์ล้างสมองให้กลับมาเป็นมือลอบสังหารนักการเมืองชั้นนำของอเมริกาเอง
(http://en.wikipedia.org/wiki/The_Manchurian_Candidate#Plagiarism_charge)
นอกจากองค์การข่าวกรองซีไอเอ (Central Intelligence Agency) ของอเมริกันจะสอบถามสัมภาษณ์เชลยศึกเหล่านี้ถึงวิธีการสอบสวนของคอมมิวนิสต์ที่พวกเขาประสบแล้ว ก็ยังร่วมกับแผนกปฏิบัติการพิเศษของกองกำลังเคมีแห่งกองทัพสหรัฐ ให้ทุนอุดหนุนการวิจัยและทดลองเรื่องนี้ผ่านแผนกข่าวกรองวิทยาศาสตร์ของซีไอเอเอง แก่นักวิชาการด้านจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยแม็กจิลของแคนาดา 2 คนคือ ดร.โดนัลด์ เฮ็บ กับ ดร.อีเวน คาเมรอน ในโครงการที่ชื่อว่า Project MKUltra หรือนัยหนึ่งโครงการควบคุมความคิดจิตใจ (mind control program) ซึ่งเริ่มต้นเมื่อปี ค.ศ.1953 เพื่อวิศวพฤติกรรมของมนุษย์ (behavioral engineering of humans) ด้วยการล่อลวงพลเมืองชาวอเมริกันและแคนาดาหลายคนมาเป็นหนูตะเภาทดลองโดยไม่รู้เท่าทันอย่างผิดกฎหมาย จนถูกสั่งให้ยุติโครงการทั้งหมดลงอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ.1973 (http://en.wikipedia.org/wiki/Mkultra)
ฐานคิดทฤษฎีที่นำเสนอโดยด็อกเตอร์จิตวิทยาชาวแคนาดาทั้งสองเพื่อนำไปสู่ปฏิบัติการล้างสมองเปลี่ยนความคิดพฤติกรรมได้แก่ Psychic Driving หรือการขับเคลื่อนความคิดจิตใจ อันประกอบไปด้วย 2 ส่วนได้แก่ 1. ERASE หรือลบล้างแบบแผนบุคลิกภาพเดิม (depatterning personality) ทิ้งเสียก่อน
จากนั้นจึงค่อย 2. REMAKE หรือปลูกสร้างแบบแผนบุคลิกภาพอันใหม่ให้บุคคลผู้นั้น
พวกเขาอธิบายว่าคนเรารู้ตัวว่าอยู่ที่ไหน? ตัวเองเป็นใคร? (self-awareness & self-identity) โดยผ่านภาพลักษณ์เกี่ยวกับเวลาและสถานที่ (a time and space image) ว่าตัวเองกำลังอยู่ที่ไหน เมื่อใด?
ภาพลักษณ์ดังกล่าว ค้ำจุนโดยปัจจัย 2 ประการได้แก่
1. ประสาทสัมผัสต่างๆ เช่น ตา หู จมูก ลิ้น กาย ซึ่งเปิดรับข้อมูลจากโลกภายนอก เช่น รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส เข้ามา ดังที่ทางพุทธเรียกว่าอายตนะ
และ 2. ความทรงจำ
ฉะนั้น หากทำลายหรือสกัดยับยั้งช่องทางประสาทสัมผัสเหล่านี้รวมทั้งความทรงจำลงเสียแล้ว ก็จะสามารถบั่นทอนบ่อนเบียนภาพลักษณ์เวลาและสถานที่ จนนำไปสู่การลบล้างความรู้สำนึกตัวและเอกลักษณ์ของบุคคลลงได้
วิธีการก็คือ 1. โดดเดี่ยวหรือขังเดี่ยวบุคคลผู้นั้น ไม่ให้เขาหรือเธอได้ติดต่อสัมพันธ์พบปะพูดคุยกับใครอื่น และทำให้ประสาทสัมผัสทุกช่องทางของเขาหรือเธอไม่มีโอกาสได้รับรู้สัมผัสกับสิ่งใดเลย (isolation & sensory deprivation) ว่างเปล่าแน่นิ่งมืดตื้อเงียบสนิทชาด้านปลอดตลอดเหมือนพรมลูกฟัก อาจเสริมด้วยการสะกดจิต ให้ยาหลอนประสาท รวมทั้งทำให้เจ็บปวด หวาดกลัว เคร่งเครียด วิตกกังวล และ
2. ใช้ไฟฟ้าชอร์ตร่างกายบุคคลผู้นั้นในโหลดที่หวังผลเหมาะสมตามผลจากการทดลอง โดยเชื่อว่าอาการ ช็อก (shock) ต่อร่างกายและประสาทสมองที่เกิดจากไฟฟ้าชอร์ตจะนำไปสู่การสูญเสียความทรงจำแต่เดิมไป
ผลของวิธีการ 1. + 2. รวมกัน จะทำให้บุคคลสับสน หลงเคว้ง ความจำเสื่อม กลายสภาพเหมือนกลับเป็นเด็กทารกใหม่ เห็นผู้สอบสวนและทรมานตนประหนึ่งพ่อแม่ผู้ปกครองที่ตนหวังพึ่งพาและยอมเชื่อฟัง
เมื่อ ERASE หรือลบล้างแบบแผนบุคลิกภาพเดิมทั้งความคิดจิตใจและความจำลงหมดสิ้นแล้ว สมองของเขาหรือเธอก็จะปลอดโล่งเสมือนแผ่นกระดานชนวนว่างเปล่า (clean slate, tabula rasa) เปิดช่องให้ผู้สอบสวนสามารถ REMAKE หรือปลูกสร้างแบบแผนบุคลิกภาพใหม่ขึ้นมา คล้ายกับเขียนหรือเอาโปรแกรมแบบแผนพฤติกรรมใหม่บันทึกลงไป ทำให้คนผู้นั้นกลายเป็นคนใหม่ที่กล้าและพร้อมทำสิ่งที่ไม่เคยคาดคิดว่าจะทำได้มาก่อน
วิธีการที่ใช้ในขั้นตอน REMAKE บุคลิกภาพใหม่คือการ sensory overload หรืออัดแน่นข้อมูลท่วมท้น ประเดประดังเข้าไปในประสาทสัมผัสจนมันเกาะกินติดตราตรึงแน่นฝังใจ เช่น เปิดเทปข้อความเดิมให้ฟังซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่หยุด, เปิดเสียงเพลงดังสนั่นลั่นหู, ใช้ไฟสปอตไลต์สว่างจ้ากราดส่องใส่หน้าตาตลอดเวลาทั้งวันทั้งคืน เป็นต้น
จากนั้นก็บอกให้บุคคลสารภาพผิด เผยข้อมูลความลับที่ต้องการออกมา เปลี่ยนบุคลิกพฤติกรรมเขาไป ฯลฯ
การสอบสวนแบบทรมานศาสตร์ตามแนวคิดทฤษฎีขับเคลื่อนความคิดจิตใจหรือนัยหนึ่งควบคุมความคิดจิตใจ+ล้างสมองไปในตัว ซึ่งค้นคว้าวิจัยทดลองขึ้นมาใน Project MKUltra นี้ได้พัฒนาจนประมวลสรุปผลออกมาเป็นคู่มือฝึกอบรม “ลับ” สำหรับเจ้าหน้าที่ซีไอเอและหน่วยข่าวกรองอื่นๆ ของทางการสหรัฐได้นำไปใช้ในงานสอบสวนนักโทษและเชลยศึกที่แข็งขืนในภาคสนาม ชื่อว่า Kubark Counterintelligence Interrogation Training Manual หรือคู่มือฝึกอบรมสอบสวนต่อต้านงานข่าวกรองคูบาร์ก (กรกฎาคม ค.ศ.1963, คำว่า Kubark เป็นรหัสที่ซีไอเอใช้เรียกตัวเอง ดูสำเนาเอกสารฉบับจริงซึ่งถูกนำออกมาเผยแพร่ต่อสาธารณะโดยอาศัยอำนาจกฎหมายเสรีภาพด้านข่าวสารของสหรัฐได้ที่ http://www.slideshare.net/UnitB166ER/kubark-counterintelligence-interrogation-training-manual-1963)
หลักวิธีการแห่งทรมานศาสตร์โดยภูมิปัญญาซีไอเอถูกสหรัฐอเมริกานำไปใช้ในสงครามเย็นกับคอมมิวนิสต์ ต่อเนื่องมายังสงครามต่อต้านการก่อการร้ายกับขบวนการการเมืองอิสลามทั่วโลกในปัจจุบัน ผลงานเชิงปฏิบัติรูปธรรมของมันถูกเปิดโปงปรากฏให้เห็นอย่างฉาวโฉ่ไม่ว่าที่คุกอาบู กราอิบในอิรัก, คุกอ่าวกวนตานาโมในคิวบา, คุกบากรัมในอัฟกานิสถาน เป็นต้น
แน่นอนว่าภูมิปัญญานี้ยังได้ถูกถ่ายทอดให้เจ้าหน้าที่ประเทศพันธมิตรของอเมริกาในสงครามทั้งสองอย่างใจกว้างไม่ว่าในละตินอเมริกา, ตะวันออกกลาง และเอเชียรวมทั้งไทยด้วย
อย่างไรก็ตาม บทสรุปของรายงานการสอบสวนเรื่องนี้โดยวุฒิสภาสหรัฐชี้ว่าวิธีการทรมานไม่เพียงผิดกฎหมายและหลักสิทธิมนุษยชน แต่ยังไม่ได้ผล เพราะไม่ได้ข่าวกรองที่สำคัญสำหรับต่อต้านการก่อการร้ายจริง (http://rt.com/usa/176884-leaked-post-911-torture-report/) ผู้ถูกทรมานมีแนวโน้มจะยอมรับสารภาพสิ่งที่ผู้สอบสวนและทรมานต้องการได้ยิน เพียงเพื่อให้การทรมานยุติลง
สถานะแท้จริงของมันจึงนับวันกลายเป็น “อวิชชา” มากกว่า “ศาสตร์” เข้าไปทุกที