ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 26 พฤศจิกายน - 2 ธันวาคม 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | ปริศนาโบราณคดี |
ผู้เขียน | เพ็ญสุภา สุขคตะ |
เผยแพร่ |
‘วัดอุโมงค์’ (สวนพุทธธรรม)
ศิลปกรรมที่เต็มไปด้วยปัญหา
ด้านการกำหนดอายุ (2)
รองอำมาตย์โทชุ่ม ณ บางช้าง (อดีตครูสอนหนังสือที่โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย ระหว่างปี 2460-2501) คือท่านแรกที่ได้ศึกษา สืบค้น และเปิดประเด็นเรื่องประวัติความเป็นมาของวัดอุโมงค์ เนื้อหาดังกล่าวนำมาสู่การตีพิมพ์หนังสือ “ประวัติวัดอุโมงค์” มากกว่า 20 ครั้งที่ทางวัดจัดทำขึ้น นับจากปี 2516 ถึงปัจจุบัน สรุปเนื้อหาได้ดังนี้
เนื่องจากพระญามังรายทรงทราบว่า พ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงส่งทูตไปนิมนต์พระเถระชาวสิงหลจากลังกามาจำพรรษาที่สุโขทัย 5 รูป พระญามังรายจึงขออาราธนาพระมหากัสสปะเถระ พระภิกษุลังกา 1 ใน 5 รูปจากพ่อขุนรามคำแหงมหาราช มาประดิษฐานพระพุทธศาสนาแบบลังกาวงศ์ในนครเชียงใหม่
และพระมหากัสสปะเถระรูปนี้เองที่เป็นผู้วางรากฐานก่อสร้างเจดีย์วัดอุโมงค์ ทั้งนี้ ในสมัยพระญามังรายยังไม่ได้มีการขุดเจาะช่องอุโมงค์ วัดเมื่อยุคแรกสร้างชื่อวัดไผ่ 11 กอ (เวฬุกัฏฐาราม)
อาจารย์ชุ่มยังระบุด้วยว่า รูปทรงดั้งเดิมของพระเจดีย์วัดอุโมงค์นี้ไม่ได้ใหญ่โตเหมือนกับที่เห็นในปัจจุบัน ด้วยถูกครอบทับอีกครั้งในสมัยพระญากือนา
จากข้อมูลดังกล่าว มีสิ่งที่ชวนให้ศึกษาขบคิดแตกเป็นประเด็นแยกย่อยได้อีก 3 ประเด็น : 1.สายสัมพันธ์ระหว่างพ่อขุนรามคำแหงมหาราชกับพระภิกษุชาวลังกา 2.เรื่องปริศนาพระมหากัสสปะที่เวียงกุมกามในสมัยพระญามังราย 3.การตีความของอาจารย์ชุ่ม ว่าเจดีย์มีการครอบใหม่
ประเด็นแรก สายสัมพันธ์ของพ่อขุนรามคำแหงมหาราชกับพระภิกษุชาวลังกา หลักฐานจากศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงฯ หลักที่ 1 จารเมื่อ พ.ศ.1826 ซึ่งมักอ้างอิงถึงอย่างกว้างขวาง มีข้อความหนึ่งในหน้า 2 บรรทัดที่ 29-30 กล่าวว่า
“มหาเถรสังฆราชปราชญ์เรียนจบปิฎกไตร หลวก (ฉลาด) กว่าปู่ครูในเมืองนี้ ทุกคนลุกแต่เมืองศรีธรรมราชมา”
แม้ศิลาจารึกหลักที่ 1 พ่อขุนรามฯ ไม่ได้ระบุว่าบรรดา “ปู่ครู” หรือ “มหาเถร” ชาวนครศรีธรรมราชเหล่านั้นเรียนจบพระไตรปิฎกมาจากไหน แต่แวดวงการศึกษาก็ยอมรับกันโดยนัยว่าต้องผ่านกรุงลังกาอย่างไม่มีข้อสงสัย
ดังนั้น พระภิกษุที่ชื่อ “พระมหากัสสปะเถระ” ผู้ที่ขึ้นมาอยู่ในราชสำนักล้านนาสมัยพ่อขุนรามคำแหงฯ-พระญามังราย ก็ย่อมเดินทางจากลังกา-นครศรีธรรมราช-สุโขทัย-เชียงใหม่ จะเป็นหนึ่งในบุคคลที่ถูกจารึกถึงในศิลาจารึกหลักนี้ด้วยหรือไม่?
ปัญหาคือ เราไม่พบชื่อของพระภิกษุชื่อ พระมหากัสสปะในประวัติการสถาปนาพระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ในเอกสารฝ่ายนครศรีธรรมราช ช่วงที่ตรงกับสมัยพ่อขุนรามคำแหงฯ แต่อย่างใดเลย
อนึ่ง รองศาสตราจารย์ประทีป ชุมพล (อดีตอาจารย์ภาควิชาภาษาไทย คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร) ได้ทำการศึกษาเรื่องพระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ในนครศรีธรรมราชและสุโขทัย ได้ข้อสรุปว่า สมัยพ่อขุนรามคำแหงฯ นั้น
พุทธศาสนาจากลังกาที่เข้ามาสู่นครศรีธรรมราชก็ดี จากนั้นส่งต่อมายังสุโขทัยก็ดี ล้วนแล้วแต่เป็นนิกายที่เรียกว่า “สำนักอภัยคีรี” (หรือสำนักเชตวัน) ทั้งสิ้น ซึ่งนิกายนี้มีอิทธิพลของลัทธิมหายานและฮินดูปะปน รวมทั้งใช้ภาษาสันสกฤตอีกด้วย
ซึ่งยังไม่ใช่ฝ่าย “สำนักมหาวิหาร” ที่ต่อมารู้จักกันในนามพุทธเถรวาทบริสุทธิ์ ต้นตำรับนิกายลังกาวงศ์ตรงกับสมัยพระญาลิไทไม่
ดังนั้น พระพุทธศาสนาจากลังกาในสมัยพ่อขุนรามคำแหงฯ และพระญามังราย จึงยังไม่น่าจะเรียกว่า “นิกายลังกาวงศ์” หรือ “ลัทธิลังกาวงศ์” แบบเต็มปากเต็มคำได้นัก แต่ควรเรียกว่า พระพุทธศาสนาจากลังกาสำนักอภัยคีรี
ประเด็นที่สอง มีตำนานเอกสารเล่มใดระบุเรื่องราวเกี่ยวกับพระภิกษุชาวลังกาในสมัยพระญามังรายบ้างหรือไม่ พบว่ามีกล่าวถึงภิกษุรูปหนึ่งชื่อ “พระมหากัสสปะ” ในเอกสารชิ้นสำคัญคือ “ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่”
โดยกล่าวว่า ขณะที่พระญามังรายประทับที่เวียงกุมกามใน พ.ศ.1831 (หลังจากสร้างเวียงกุมกามเสร็จได้ 3 ปี) นั้น ทรงสร้างเจดีย์กู่คำ และวัดกานโถม
ณ วัดกานโถมมีต้นมะเดื่อใหญ่ต้นหนึ่งเป็นที่สิงสถิตของรุกขเทวดา (ภาษาล้านนาปัจจุบันเรียก “ไม้หมายเมือง”) พระญามังรายโปรดที่จะไปสักการะต้นมะเดื่อนี้เป็นประจำ
“ในกาลนั้น ยังมีมหาเถรเจ้า 5 ตน มีมหาเถรตนชื่อมหากัสสปะเป็นประธาน อันประกอบด้วยปฏิปริยัติอินทรียสังวรดีนัก ก็มาเล็งหัน (เห็น) ยังฐานะที่ไม้เดื่อตายนั้นเป็นที่สงัดวิเวกดีนัก มหาเถรเจ้าทั้ง 5 ตน ก็ลวดมาอยู่สถิตสำราญ”
เห็นได้ว่านามของ “พระมหากัสสปะเถระ” ได้ปรากฏขึ้นแล้วในฉากที่พระญามังรายประทับอยู่ที่เวียงกุมกาม ก่อนจะสร้างนครเชียงใหม่นานถึง 8 ปี เรื่องราวของพระมหากัสสปะยังคงดำเนินต่อไปในประเด็นที่พระคุณเจ้าได้เล่าถึงอานิสงส์ของการต่อนิ้วพระพุทธรูปให้พระญามังรายฟัง (อันจักได้แยกเขียนถึงในบทความชิ้นต่อๆ ไปอย่างละเอียด)
สิ่งที่น่าคิดคือ ในเชิงอรรถของตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ ฉบับที่แปลโดย ศ.อรุณรัตน์ วิเชียรเขียว และเดวิด เค.วัยอาจ ที่ดิฉันนำมาอ้างถึงนี้ ได้ทำหมายเหตุไว้ว่า “มหาเถรเจ้า 5 ตนนี้ ไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นพระสงฆ์มาจากที่ใด อาจจะมาจากหริภุญไชย”
เรื่องนี้มีความน่าสนใจยิ่งว่า อาจารย์ชุ่มได้ข้อมูลเกี่ยวกับพระมหากัสสปะว่าเป็นชาวลังกามาจากเอกสารเล่มไหน ท่านสัมภาษณ์ใคร อย่างไร หรือสันนิษฐานเองโดยอาศัยเค้ามูลที่พบชื่อพระมหากัสสปะจากตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่
เพราะแม้แต่การแปลตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ของแม่ครูอรุณรัตน์ ผู้คร่ำหวอดด้านเอกสารโบราณชนิดหาตัวจับได้ยากตั้งแต่ราว 4-5 ทศวรรษก่อน ก็ยังไม่สามารถฟันธงได้ว่าพระมหากัสสปะเป็นชาวลังกา (รวมถึงเป็นผู้สร้างวัดอุโมงค์ด้วย) บอกแค่เพียงว่า พระมหากัสสปะและพระอีก 4 รูปมาจำพรรษาที่วัดกานโถมเวียงกุมกาม เท่านั้น
เรื่องราวของพระมหาเถรเจ้ากลุ่มหนึ่งที่พำนักอยู่ ณ เวียงกุมกามนั้น ยังมีเรื่องเล่าต่อไปอีกถึงตอนที่พระญามังรายเสด็จไปที่วัดช้างค้ำ ได้มี
“มหาเถรเจ้าหมู่ 1 เอาธาตุพระพุทธเจ้าแต่สิงหลที่เมืองลังกา มาหื้อ (ให้) แก่พระญามังราย 2 ดวง” พระญามังรายสรงน้ำพระธาตุ พระธาตุกระทำปาฏิหาริย์แตกเป็น 3 เสี่ยง จากนั้น
“พระญามังรายก็เอาคำ (ทองคำ) พุ่น 500 ฝากมหาเถรเจ้าไปบูชามหาโพธิเจ้าในเมืองลังกานั้นแล” และต่อมา พระมหาเถรทั้ง 4 (ทำไมจึงเหลือ 4 ก่อนหน้านั้นยังมี 5 รูป หรือว่ามีรูปหนึ่งไม่ได้ไปลังกาด้วย?) ได้นำลูกมหาโพธิ์ 4 ลูกซึ่งได้จากการอธิษฐานจิตให้หล่นลงมาจากต้นศรีมหาโพธิ์ กลับมาถวายพระญามังราย
พระองค์โปรดให้นำไปปลูกตามเมืองต่างๆ ดังนี้ 1.ทุ่งยางเมืองฝาง 2.วัดรั้วหน่าง (ปัจจุบันเป็นวัดร้างอยู่ในบริเวณพื้นที่ก่อนสร้างวิทยาลัยนาฏศิลป์เชียงใหม่) 3.เวียงท่ากาน และ 4.ลูกสุดท้ายให้พระราชมารดาของพระองค์ (นางเทพคำขร่าย) กับนางปายโค (มเหสี) นำไปปลูกแทนต้นมะเดื่อที่ตายแล้ว ณ วัดกานโถม
สะท้อนให้เห็นว่า แม้เดิมพระญามังรายจะนับถือผีบรรพบุรุษมาก่อนที่จะตีนครหริภุญไชยแตก แล้วเข้ารีตมาเป็นพุทธมามกะก็ตาม แต่ทรงสนับสนุนให้มีการปลูกต้นโพธิลังกา กับมีความเชื่อเรื่องการสรงน้ำพระธาตุแล้ว ในช่วงที่ประทับอยู่ ณ เวียงกุมกาม
แต่ก็อีกนั่นแหละ สิ่งที่เราสงสัยคือ พระมหาเถระ 1 ใน 4 ที่ไปลังกาโดยพระญามังรายมอบทองคำให้ 500 พุ่น (ชั่ง?) สำหรับเป็นค่าใช้สอยระหว่างเดินทางนั้น จะมีภิกษุที่ชื่อ มหากัสสปะ รวมอยู่ด้วยไหม
ประเด็นสุดท้าย การตีความของอาจารย์ชุ่ม ณ บางช้าง ว่ามีการสร้างครอบทับเจดีย์วัดอุโมงค์หลังเก่าของพระญามังรายไว้ด้านใน โดยผู้ครอบคือพระญากือนานั้น
แสดงให้เห็นว่า อาจารย์ชุ่มเองก็มองว่า รูปแบบเจดีย์ของวัดอุโมงค์องค์ปัจจุบันก็ไม่น่าจะเก่าไปถึงสมัยพระญามังรายได้
แม้ท่านจะเป็นผู้เปิดประเด็นเรื่อง พระมหากัสสปะผู้เป็นพระภิกษุชาวลังกา ซึ่งพ่อขุนรามคำแหงฯ ส่งมาจากสุโขทัย ให้จำพรรษาในนครเชียงใหม่เป็นรายแรกๆ ก็ตาม
สรุป ณ บรรทัดนี้ หลังจากที่ทำการวิเคราะห์เรื่อง “ตัวตน และความเป็นมาของพระมหากัสสปะ ว่ามีจริงหรือไม่” มาตั้งแต่ตอนแรกฉบับที่แล้วนั้น
ในมุมมองของดิฉัน เห็นว่าพระมหากัสสปะและคณะอีก 4 รูป เคยเดินทางมาจำพรรษา ณ วัดกานโถมที่เวียงกุมกามตั้งแต่ก่อนที่พระญามังรายจะสร้างเมืองเชียงใหม่ เรื่องนี้เป็นเหตุการณ์จริงที่มีการบันทึกไว้ในตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่
แต่ไม่มีการระบุเชื้อชาติ สัญชาติ ว่าพระมหาเถระทั้ง 4 ทั้ง 5 รูปนั้น เป็นชาวลังกา ชาวนครศรีธรรมราช ชาวสุโขทัย หรือชาวหริภุญไชย แต่ที่แน่ๆ พระญามังรายถวายปัจจัยเป็นค่าเดินทางแด่พระมหาเถระเหล่านั้นให้ไปนำหน่อพระศรีมหาโพธิ์จากลังกาขึ้นมายังเวียงกุมกาม
ส่วนพระมหากัสสปะ ผู้ที่อาจารย์ชุ่มทำการศึกษาเรียบเรียงแล้วระบุว่า ท่านเป็นพระภิกษุชาวลังกา ถูกพ่อขุนรามคำแหงฯ ส่งมา เนื่องจากพระญามังรายนิมนต์ให้ขึ้นมาเมืองเชียงใหม่นั้น ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ถึงกับต้องถกเถียงกันอย่างเอาเป็นเอาตาย
เอาเป็นว่า พระภิกษุรูปนี้ หรือพระมหาเถระกลุ่มนี้ เคยผ่านการเดินทางไปลังกามาแล้ว และเป็นกลุ่มพระมหาเถระที่พระญามังรายมีปฏิปทาเลื่อมใสศรัทธาอย่างมาก จนกระทั่งเมื่อท่านสร้างเวียงเชียงใหม่เสร็จ ก็อาจจะอาราธนาให้พระมหาเถระกลุ่มนี้ย้ายมาพำนักแถวเชิงดอยสุเทพ เนื่องจากเวียงกุมกามอาจไกลเกินไปหากมีกิจที่ต้องนิมนต์
สัปดาห์หน้า จักได้ทำการวิเคราะห์ถึงการเจาะช่อง “อุโมงค์” กันต่อไป ว่าเป็นผลงานของพระญากือนาหรือพระเจ้าติโลกราช?