ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 27 สิงหาคม - 2 กันยายน 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | ปริศนาโบราณคดี |
ผู้เขียน | เพ็ญสุภา สุขคตะ |
เผยแพร่ |
‘สงครามสามนคร’ (1)
: กษัตริย์หริภุญไชยผู้พลัดถิ่นหนีไปแถบเมืองสรรคบุรี?
ใครที่ได้อ่านเอกสารโบราณอายุกว่า 500 ปีสามเล่มนี้ คือชินกาลมาลีปกรณ์ ตำนานมูลศาสนา และจามเทวีวงศ์พงศาวดารนครหริปุญไชย ย่อมต้องสะดุดใจกับเนื้อหาที่เข้มข้นตอนหนึ่ง พร้อมกับคำถามนานัปการ
เนื่องจากเป็นเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ดึงเอาแว่นแคว้นต่างๆ ของสามภูมิภาคในสยาม เหนือ กลาง ใต้ เข้ามาโยงใยกันอย่างดุเดือด แต่ก็น่าเชื่อถือ ดังที่เรียกกันแบบให้เข้าใจง่ายว่า “สงครามสามนคร” นั้น
ผู้อ่านเคยสงสัยกันบ้างหรือไม่คะ การที่ตำนานระบุว่ากษัตริย์นครศรีธรรมราชได้บุกขึ้นมายึดเมืองละโว้ (ลพบุรี) ทำให้กษัตริย์ละโว้ต้องรีบมาช่วงชิงยึดเมืองหริภุญไชย (ลำพูน) ในขณะที่กษัตริย์หริภุญไชยเข้าเมืองช้ากว่าจำต้องอพยพหนีลงไป ณ เมืองแห่งหนึ่งทางทิศใต้
เมืองดังกล่าวนั้นคือเมืองอะไรหรือ? ตำนานทุกฉบับไม่ได้บันทึกชื่อไว้
ดิฉันสนใจประเด็น “สงครามสามนคร” อย่างมาก เพราะมันเริ่มสนุกมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นเหตุการณ์ที่สะท้อนถึงแสนยานุภาพของกองทัพแห่งรัฐทางใต้ ว่ามีความยิ่งใหญ่กว่ารัฐทางภาคกลาง และกองทัพของรัฐทางตอนกลางก็มีพลานุภาพสูงกว่ารัฐทางตอนเหนือ
ดิฉันจึงขอนำเสนอความเห็นออกเป็นสองตอน
ฉบับนี้จะพูดถึงรายละเอียดของสงครามสามนคร
ส่วนฉบับหน้าจะตั้งข้อสันนิษฐานว่าด้วย “เมืองแห่งหนึ่งที่กษัตริย์หริภุญไชยผู้พลัดถิ่นหนีหายไป” นั้น ควรจะเป็นเมืองสรรคบุรี (แพรกศรีราชา) แถบชัยนาท ได้หรือไม่?
เหตุที่เราได้พบรูปแบบพระเจดีย์จำนวนมากในกลุ่มเมืองสรรคบุรี สร้างด้วยทรงแปดเหลี่ยมสูงชะลูด อันมีต้นกำเนิดมาจาก “รัตนเจดีย์” วัดจามเทวี ศิลปะของหริภุญไชย อย่างมีนัยยะสำคัญ
เหตุการณ์อลหม่าน
เมืองแม่ vs เมืองลูก + มือที่สาม
เมืองหริภุญไชยสร้างขึ้นราวปี พ.ศ.1204-1205 โดยพระนางจามเทวีเสด็จจากกรุงละโว้ (ลวปุระ) เพื่อขึ้นไปปกครองในฐานะปฐมกษัตรีย์ ตามคำเชิญของฤๅษีวาสุเทพ กล่าวได้ว่า ช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 13 ละโว้กับหริภุญไชย ยังมีสายสัมพันธ์อันดีต่อกันในฐานะเครือญาติ
หลักฐานทางศิลาจารึกที่พบอักษรมอญโบราณในสองแคว้นนี้ อาจใช้ยืนยันได้ว่าประชากรหลักของแคว้นทั้งสองก็น่าจะเป็นชาติพันธุ์กลุ่มเดียวกันคือ “ชาวมอญ” หรือจะเป็นชาติพันธุ์ใดก็แล้วแต่ อย่างน้อยต้องอยู่ในกลุ่มคนที่ใช้ภาษาตระกูลออสโตรเอเชียติก (ขอม มอญ ละว้า)
ผ่านไปแค่ 2-3 ศตวรรษเท่านั้น สายสัมพันธ์ระหว่างละโว้กับหริภุญไชยเริ่มขาดสะบั้นลง ไม่เหลือเยื่อใยแห่งความเป็นเมืองแม่เมืองลูกกันอีกต่อไป ด้วยเหตุนี้ตำนานฝ่ายเหนือนับแต่กษัตริย์หริภุญไชยลำดับที่ 18 เป็นต้นไป ล้วนบันทึกถึงเหตุการณ์ในทำนองว่าฝ่ายหริภุญไชยและฝ่ายละโว้ ต่างชิงชังซึ่งกันและกัน เผลอไม่ได้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดต้องผลัดกันยกทัพไปรุกรังแกอีกฝ่ายตลอดเวลา
หากเป็นสงครามระหว่าง “ละโว้-หริภุญไชย” เมืองแม่-เมืองลูก แค่สองเมืองก็คงไม่น่าแปลกใจเท่าใดนัก ด้วยเหตุที่ต่อมาเมืองละโว้ได้ตกไปอยู่ภายใต้อิทธิพลของขอมแล้ว ในขณะที่หริภุญไชยยังเป็นมอญทวารวดีอยู่
ทว่า สิ่งที่เพิ่มความอลวนอลเวงจนถึงขั้นอลหม่านขึ้นมาก็คือ จากสงครามสองนคร ไฉนจึงได้ขยายวงกว้างออกไปเป็น “สงครามสามนคร” นี่น่ะสิคะ มีเมือง “นครศรีธรรมราช” เข้ามาร่วมวงไพบูลย์เพิ่มด้วยได้อย่างไร
ทำให้ต้องวิเคราะห์กันอย่างหนักว่าเกิดอะไรขึ้นกับรัฐต่างๆ ในช่วงเวลาดังกล่าว
รายพระนามกษัตริย์
ที่คลาดเคลื่อนของแต่ละฝ่าย
กษัตริย์ของฝ่ายหริภุญไชยในขณะนั้น ชินกาลมาลีปกรณ์ระบุว่าชื่อพระเจ้า “ตราพกะ” (อ่าน ตรา-พะ-กะ) มูลศาสนาบอกว่าชื่อพระญา “พกราช” (พะ-กะ-ราช) จามเทวีวงศ์เรียกพระเจ้า “อัตราสตกราช” (อัต-ตะ-ราด-ตะ-กะ-ราช)
กษัตริย์ฝ่ายละโว้ ชินกาลมาลีปกรณ์ระบุว่าชื่อพระเจ้า “อุจฉิตตจักรพรรดิ” (อุด-ฉิด-ตะ) มูลศาสนาบอกว่าชื่อพระญา “อุจจิตตะจักรวรรดิ” (อุด-จิต-ตะ) จามเทวีวงศ์เรียกพระเจ้า “อุจฉิฏฐจักรวัติราช” (อุด-ฉิด-ถะ) การมีสร้อยคำว่า “จักรพรรดิ-จักรวรรดิ-จักรวัติราช” ต่อท้าย สะท้อนว่ากษัตริย์พระองค์นี้ต้องยิ่งใหญ่มาก ถึงขนาดได้รับการประกาศเป็นพระจักรพรรดิ
กษัตริย์ฝ่ายนครศรีธรรมราช (สิริธัมมนคร) ชินกาลมาลีปกรณ์เรียกพระเจ้า “ชีวกราช” (อ่าน ชี-วะ-กะ) มูลศาสนาว่าชื่อพระญา “วรราช” (วอ-ระ-ราช) จามเทวีวงศ์เรียกพระเจ้า “สุชิตราช”
เห็นได้ว่าชื่อกษัตริย์ของฝ่ายละโว้ ตำนานทุกฉบับบันทึกไว้แทบไม่มีความแตกต่างกันเลย กษัตริย์ฝ่ายหริภุญไชยแม้จะมีความแตกต่างกันบ้าง ทว่า ยังพอเห็นเค้ารากศัพท์คำว่า “พะ-กะ-ราช” หรือ “ตะ-กะ-ราช” ที่ละม้ายคล้ายคลึงกันอยู่บ้าง
ในทางกลับกัน ชื่อกษัตริย์ของฝ่ายนครศรีธรรมราชนั้น แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงทั้งสามตำนาน ระหว่าง “ชีวกะ” “วรราช” และ “สุชิตราช”
ศาสตราจารย์ยอร์จ เซเดส ตีความคำว่า “ชีวกะ” (Jivakas) ว่าหมายถึงชาวชวา (ชวากะ) เป็นการบ่งบอกถึงเชื้อสายของกษัตริย์องค์นี้ว่าเป็นคนพื้นเมืองกลุ่มชวา-มาเลย์ สืบบัลลังก์มาจากสายวงศ์ศรีวิชัยที่มีเกาะชวาเป็นศูนย์กลาง (แม้ว่าช่วงพุทธศตวรรษที่ 15-16 นครศรีธรรมราชหรือตามพรลิงค์ จะแยกเป็นอิสระจากศรีวิชัยแล้วก็ตาม)
คำว่า “วรราช” นักวิชาการหลายท่านมองว่าคล้ายคำสร้อยต่อท้ายพระนามเต็มมากกว่า ส่วน “สุชิตราช” นั้นน่าจะเป็นชื่อเฉพาะของกษัตริย์พระองค์นี้
“สุชิตราช” คือใคร “ปิแยร์ ดูปองต์” นักโบราณคดีชาวฝรั่งเศสเห็นแย้งกับยอร์จ เซเดส ที่มองว่าพระองค์เป็น “ชวากะ-ชีวกะ” เชื้อสายศรีวิชัย
ดูปองต์เห็นว่ากษัตริย์องค์นี้น่าจะมีเชื้อสายเขมรมากกว่า หรืออย่างน้อยมเหสีของพระองค์ต้องเป็นเจ้าหญิงเขมร คืออย่างไรเสียชนชั้นปกครองเมืองตามพรลิงค์ช่วงนั้นน่าจะเป็นเขมร ครั้นสุชิตราชเห็นว่าทางละโว้ (ซึ่งก็เป็นขอมแล้วเหมือนกัน) กำลังมีปัญหากับหริภุญไชย จึงถือโอกาสบุกเข้าไปยึดละโว้ไว้ให้ได้ก่อน (เพื่อช่วยพวกเขมรเหมือนกัน) มิเช่นนั้นแล้ว ละโว้ต้องตกเป็นของฝ่ายมอญหริภุญไชย
“ประทุม ชุ่มเพ็งพันธุ์” ผู้เชี่ยวชาญด้าน “ศรีวิชัยศึกษา” วิเคราะห์ว่า เหตุการณ์สงครามสามนครครั้งนี้ เกิดขึ้นราวปี 1560 ก่อนยุคของพระเจ้าสูริยวรมันที่ 1 จักแผ่อิทธิพลมาสู่ละโว้ในราวปี 1593 ดังนั้น การทะเลาะเบาะแว้งระหว่าง “ละโว้-หริภุญไชย” ขณะนั้น จึงยังไม่ใช่เป็นการต่อสู้กันระหว่าง “ขอมกับมอญ” แต่เป็นการช่วงชิงอำนาจกันเองระหว่าง “มอญทวารวดีภาคกลางกับภาคเหนือที่เป็นเครือญาติกัน” มากกว่า
ไม่ว่าช่วงนั้น กษัตริย์เมืองนครศรีธรรมราชจะเป็นชาวศรีวิชัยหรือเขมร และไม่ว่ากษัตริย์ละโว้จะเป็นชาวมอญทวารวดีหรือเป็นเขมรแล้วก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนลืมเลือนไปเลยเมื่อกล่าวถึงสงครามครั้งนี้ก็คือ “ชะตากรรมของกษัตริย์หริภุญไชยผู้พลัดถิ่นพระองค์นั้น” จะเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง คือคำถามหลักของบทความชิ้นนี้
“พระญาตราพกะ-พกราชา-อัตราสตกราช เมื่อพระองค์พ่ายแพ้ต่อ อุจฉิตตจักรพรรดิ แล้วไซร้ พระองค์ทรงหายไปไหน?”
ตามหาพระญาตราพกะ-พกราชา-อัตราสตกราช
เมืองไหนหนอริมสายน้ำปิง-เจ้าพระยาหรือ?
จุดเริ่มต้นของสงครามสามนครนั้นใครเป็นผู้ก่อ? ไม่ใช่อยู่ๆ พระเจ้าชีวกราชจากนครศรีธรรมราชก็ยกทัพขึ้นมายึดละโว้อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
ทั้งยังไม่ใช่ว่า อยู่ดีๆ พระเจ้าอุจฉิตตะ ผู้เป็นจักรพรรดิแห่งกรุงละโว้ นึกครึ้มอกครึ้มใจลุกขึ้นมายึดหริภุญไชยอย่างไร้เหตุผล
เรื่องของเรื่องต้นเหตุเริ่มมาจาก พระญาตราพกะ-พกราชา-อัตราสตกราช กษัตริย์นครหริภุญไชยลำดับที่ 18 (ยึดตามชินกาลมาลีปกรณ์ แต่มูลศาสนาเป็นลำดับที่ 19) ของเรานี่เอง ซึ่งตำนานทุกฉบับกล่าวตรงกันว่า หลังจากที่ครองราชย์ได้ 2 ปี กับ 10 เดือนแล้วนั้น
ชินกาลมาลีปกรณ์ว่า “พระองค์เป็นคนกล้า ได้ตระเตรียมการรบแล้วล่องใต้ไปตามแม่น้ำพิงค์ เพื่อจะยึดครองเมืองลวปุระ …พระเจ้าอุจฉิตตจักรพรรดิได้ทราบข่าวข้าศึกมา จึงเสด็จออกจากเมืองลวปุระ เมื่อกษัตริย์ทั้งสองตั้งค่ายประชิดเพื่อจะรบกัน ยังมีกษัตริย์องค์หนึ่ง พระนามว่าพระเจ้าชีวกะ มีทหารจำนวนมาก ยกทัพเรือมาจากสิริธัมมนคร (นครศรีธรรมราช) ยึดเอาเมืองลวปุระไว้ได้
ในกาลนั้น กษัตริย์คู่สงครามทั้งสอง ก็รีบเร่งแข่งกันมานครหริปุญไชย เพื่อว่าใครถึงก่อนจะได้ยึดครอง ในกษัตริย์ทั้งสองนั้น พระเจ้าอุจฉิตตจักรพรรดิถึงนครหริปุญไชยก่อน พระเจ้าตราพกะจึงปราชัย แล้วถอยจากสมรภูมิรบไป”
แต่ไม่บอกว่าหนีไปอยู่ที่ไหน
ตำนานมูลศาสนาระบุว่า การขึ้นมาของพระญาวรราช (ชีวกราช-สุชิตราช) จากนครศรีธรรมราชนั้น ก็เพื่อ “ปราบศึก 2 เมือง” ให้ยุติ
“พระญาวรราชเสวยสมบัติอยู่ในเมืองนครศรีธรรมราช ทรงทราบข่าวว่าพระญาทั้งสองจักรบกัน ดังนั้น พระองค์ก็ยกพลโยธาเข้ามาผ่ากองทัพพระญาทั้งสอง ให้พ่ายหนีไปสู่เมืองหริภุญไชยทั้งสองฝ่าย แต่พระญาละโว้เสด็จไปถึงเมืองหริภุญไชยก่อน พระองค์ก็เสด็จเข้าไปประทับอยู่ในเมืองหริภุญไชยนั้นแล ฝ่ายว่าพระญาพกราชนั้นพลัดจากเมืองหริภุญไชยก็หนีไปหนใต้นั้นแล”
มีเพียงจามเทวีวงศ์เท่านั้นที่ให้รายละเอียดมากกว่าฉบับอื่น นับแต่การระบุถึงความยิ่งใหญ่ของกองทัพฝ่ายพระเจ้าสุชิตราช จากสิริธัมมนครว่า
“เสด็จถึงที่ยุทธนาการของสุรโยธาทั้งสองฝ่าย (ฝ่ายละโว้กับฝ่ายหริภุญไชย) โดยทางบกบ้าง ทางน้ำบ้าง (ชินกาลระบุว่ามาแต่ทางน้ำ) ด้วยสุรโยธาสิบเจ็ดหมื่น (หนึ่งแสนเจ็ดหมื่น) ครั้งนั้นพลนิกายทั้งสองฝ่ายได้เห็นพลนิกายของพระเจ้าสุชิตราชมากกว่า ก็เกิดความสะดุ้งตกใจกลัวพากันหนีไป ฝ่ายพระเจ้าอุจฉิฏฐจักรวัติราชไม่อาจกลับลวปุระได้ จึงยุดถือเอาพระนครหริปุญไชย”
จามเทวีวงศ์อธิบายว่าฝ่ายละโว้เร่งเดินเท้าไปยึดลำพูนโดยทางบกจึงถึงก่อน ในขณะที่ฝ่ายหริภุญไชยมัวแต่มะงุมมะงาหราใช้เส้นทางน้ำซึ่งเป็นทางอ้อมมาก ขาขึ้นตรงช่วงแม่ปิงเต็มไปด้วยเกาะแก่งจึงเสียเวลามาก กลับเข้าเมืองตัวเองไม่ทัน ทำให้ต้องเสียราชสมบัติ ลูกเมีย และอาณาประชาราษฎร์ กล่าวคือ พระเจ้าอุจฉิฏฐจักรวัติราชได้กระทำการยึดทุกสิ่งอย่าง
“จักกระทำภริยาของคนทั้งปวงเหล่านั้นให้เป็นภริยาของพวกเรา …ก็ถือเอาพระราชเทวีและพระราชธิดา แลวัตถาอาภรณ์ต่างๆ ซึ่งสมควรแก่พระองค์ ที่เหลือนั้นก็พระราชทานแก่พลนิกายของพระองค์”
อาจเป็นเพราะพระเจ้าอุจฉิฏฐจักรวัติราชมิได้พามเหสี โอรสธิดามาด้วยในครั้งนั้น เนื่องจากตอนที่ท่านออกจากกรุงละโว้นั้น ก็เพื่อมาทำการสงคราม ลูกเมียทรัพย์ศฤงคารต่างๆ ไม่ได้หอบกระเตงขนมาในสนามรบด้วย ทั้งหมดก็คงตกเป็นของพระเจ้าสุชิตราช กษัตริย์นครศรีธรรมราชที่ยึดละโว้ได้ด้วยเช่นเดียวกัน
ที่น่าสนใจคือ จามเทวีวงศ์บรรยายว่าเมื่อพระเจ้าสุชิตราชยึดละโว้ได้แล้ว “ก็ให้พิฆาตมหาพิชัยเภรี กระทำการบูชาเทพยดา แลบูชาเทวรูปในป่า แลบูชารูปพระราชมารดา แลบูชาเทพยดาที่รักษาพระนคร”
กษัตริย์เชื้อสายชวาหรือเขมรผู้นี้นับถือศาสนาอะไร พุทธหรือพราหมณ์? ไยจึงไม่มีการสักการะพระพุทธรูปหรือให้พระสงฆ์ทำพิธีทางพุทธศาสนา แต่กลับตีกลองบูชาเทวดาอารักษ์ บวงสรวงเทวรูป (ไม่แน่ใจว่าจะเป็นรูปพระวิษณุหรือพระศิวะ?) ส่วนการเคารพรูปปั้นของพระราชมารดานั้น สะท้อนถึงลัทธิพิธี “ศากติ” คือบูชามหาสตรีเป็นใหญ่ ถือเป็นการเพิ่มพลังให้แก่เพศชายตามความเชื่อทั้งของศาสนาฮินดูและพุทธมหายานที่นิยมอย่างสูงในช่วงพุทธศตวรรษที่ 15-18
จามเทวีวงศ์กล่าวถึง ชะตากรรมของพระญาอัตราสตกราชว่า
“อยู่มาไม่ช้า พระองค์ก็เสด็จกลับมาชิงเอาพระนครคืน ได้กระทำยุทธนาการกับพระเจ้าอุจฉิฏฐจักรวัติราชก็ถึงปราชัยพ่ายแพ้ หนีลงเรือไปซ่อนเร้นในที่ห่างไกล ในอรัญประเทศแห่งหนึ่งข้างทักษิณทิศ”
ข้อความนี้สะท้อนว่า กษัตริย์หริภุญไชยผู้พลัดถิ่นองค์นี้ยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ พยายามขึ้นมาทวงเมืองลำพูนคืนแล้วรอบหนึ่ง แต่สู้ไม่ได้จริงๆ จึงจำต้องล่องเรือหนีลงตามลำน้ำปิงไปสู่ “เมืองเมืองหนึ่งทางทิศใต้ที่เป็นเขตป่าเขาลำเนาไพร”
แม้ตำนานไม่บอกระยะทางว่าไกลแค่ไหน แต่คุณ “ณัฏฐภัทร จันทวิช” อดีตผู้ทรงคุณวุฒิด้านโบราณคดีและพิพิธภัณฑ์ของกรมศิลปากร เสนอว่าเมืองที่หนีไปกบดานนั้นไม่น่าจะใช่ตาก กำแพงเพชร หรือนครสวรรค์
ทว่า ควรจะเป็นเมือง “สรรคบุรี” หรือ “แพรกศรีราชา” (ปัจจุบันอยู่ในจังหวัดชัยนาท) มากกว่า ก่อนที่ใครจะเถียงหรือโต้แย้ง
โปรดรอฟังเหตุผลคำอธิบายต่อไปในสัปดาห์หน้า