แพทย์ พิจิตร : ว่าด้วยผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตามประเพณีการปกครองของอังกฤษ (22)

อังกฤษมีการออกพระราชบัญญัติว่าด้วยผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ครั้งแรกในปี ค.ศ.1937 (the Regency Act 1937) ต่อมาแก้ไขเพิ่มเติมในปี ค.ศ.1943 และ ค.ศ.1953

ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า พ.ร.บ. ที่ออกมาครั้งแรกไม่สามารถตอบโจทย์หรือสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้น

แม้ว่า พ.ร.บ. ฉบับแรกจะมีเจตนารมณ์ที่จะกำหนดเงื่อนไขให้ครอบคลุมทุกสถานการณ์ที่องค์พระประมุขจะทรงบริหารพระราชภารกิจไม่ได้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลด้านสุขภาพ หรือเสด็จต่างประเทศ หรือทรงพระเยาว์

แต่เมื่อถึงเวลาต้องเผชิญกับเงื่อนไขในความเป็นจริงบางเงื่อนไข ก็พบว่ามีปัญหา และตัวกฎหมายไม่สามารถมีทางออกให้ได้

จึงจำเป็นต้องมีการแก้ไข พ.ร.บ. ต่อๆ มา

 

ณ ปัจจุบัน เนื้อหาใน พ.ร.บ.ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ค.ศ.1953 ส่วนใหญ่แทบจะไม่มีความจำเป็น

ด้วยสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธที่สองทรงมีพระชนมายุยิ่งยืนนาน มีพระราชโอรสหรือองค์รัชทายาทเจ้าฟ้าชายชาร์ลสที่ทรงมีพระราชโอรสคือเจ้าฟ้าชายวิลเลียมที่ทรงเจริญพระชนมายุแล้ว และพระองค์ก็ทรงมีพระโอรสคือ เจ้าฟ้าชายจอร์จ ทำให้ปัญหาในเรื่องผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ที่อาจจะทรงพระเยาว์หรือผู้ที่จะสืบราชสันตติวงศ์ยังทรงพระเยาว์อยู่นั้นหมดไป หรือไม่น่าจะเป็นปัญหาได้ในช่วงเวลาที่ยาวนานพอสมควร

เพราะขณะนี้ เจ้าฟ้าชายวิลเลียมทรงมีพระชนมายุ 35 พรรษา และเจ้าฟ้าชายจอร์จ พระโอรสของพระองค์มีพระชนมายุ 4 พรรษา

อย่างไรก็ตาม นักวิชาการด้านกฎหมายรัฐธรรมนูญได้เล็งเห็นถึงปัญหาในรายละเอียดเกี่ยวกับบทบัญญัติที่ว่าด้วยการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ใน พ.ร.บ. ดังกล่าว

เช่น ในกรณีที่องค์พระประมุขทรงพระประชวร ถ้าพระอาการประชวรไม่รุนแรง พ.ร.บ. กำหนดให้มีการแต่งตั้งสภาสำเร็จราชการแผ่นดิน แต่ถ้ารุนแรง ก็ให้มีการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ แต่ พ.ร.บ. ก็ไม่ได้วางมาตรฐานที่ชัดเจนในเรื่องนี้เท่าไรนัก

นักวิชาการได้ตีความในประเด็นดังกล่าวนี้ว่า ในกรณีที่พระอาการประชวรขององค์พระประมุขมีผลทำให้พระองค์ทรงไร้ความสามารถในทางจิตใจหรืออารมณ์ (mental incapacity) หรือในกรณีที่องค์พระประมุขทรงมีอาการเข้าขั้นโคม่า (coma) ที่ยังไม่มีแนวโน้มที่อาการจะดีขึ้นหรือยังไม่มีแนวโน้มที่แน่นอนที่อาการจะดีขึ้น หรือพระอาการประชวรขององค์พระประมุขจำต้องอยู่ในภาวะที่ถูกควบคุมพระองค์ไว้ตาม พ.ร.บ. ที่ว่าด้วยสุขภาพจิต (mental health)— เช่น พ.ร.บ. ว่าด้วยความสามารถทางจิตใจและอารมณ์ the Mental Capacity Act 2005—ย่อมจำเป็นต้องมีการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

แต่ปัญหาคือ ความไร้ความสามารถในทางจิตใจหรืออารมณ์ (mental incapacity) นั้นก็มีในระดับต่างๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นปัญหายุ่งยากมากในการประเมินตัดสิน

ไม่เฉพาะในกรณีขององค์พระประมุข แต่กับบุคคลทั่วไปด้วยเช่นกัน ดังที่เรามักจะพบเห็นได้จากกรณีการตัดสินเรื่องการมอบอำนาจหรือการแต่งตั้งผู้พิทักษ์หรือผู้อนุบาล (the guardian)

ปัญหาที่ว่านี้ได้แก่ สมมุติว่าองค์พระประมุขทรงมีพระอาการประชวรด้วยโรคอัลไซเมอร์ จะถือว่าทรงบริหารพระราชภารกิจไม่ได้หรือไม่?

และจะประเมินว่า พระอาการประชวรนี้เข้าข่ายที่ต้องตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์หรือแต่งตั้งสภาสำเร็จราชการแผ่นดิน

ขณะเดียวกัน สภาวะความบกพร่องหรือความอ่อนแอทางกายภาพ (physical infirmity) อย่างเดียวอาจจะไม่เพียงพอที่จะเป็นเหตุผลให้มีการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

เพราะอย่างในกรณีของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา แฟรงกลิน รูสเวลต์ ป่วยเป็นโรคโปลิโอ ทำให้เป็นอัมพาตตั้งแต่ช่วงเอวลงไป แต่การป่วยนั้นก็มิได้เป็นอุปสรรคในการบริหารงานในฐานะประมุขของรัฐแต่อย่างใด

ในทำนองเดียวกัน หากองค์ประมุขอยู่ในอาการดังกล่าวหรือมีอุปสรรคเกี่ยวกับการเคลื่อนไหว

อาการดังกล่าวย่อมเป็นอุปสรรคต่อการบริหารพระราชภารกิจ

และในกรณีนี้จะเข้าข่ายที่จะต้องมีการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์หรือสภาสำเร็จราชการแผ่นดินหรือไม่?

 

ขณะเดียวกัน พ.ร.บ.ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ก็ไม่ได้ให้นิยามเกี่ยวกับ “พระราชภารกิจ” (royal functions) ไว้อย่างละเอียด

กล่าวไว้แต่เพียงว่า “ความหมายของพระราชภารกิจ คือ รวมอำนาจและหน้าที่ทั้งหมดที่เป็นขององค์พระมหากษัตริย์”

ขณะเดียวกัน ในช่วงเจ็ดสิบปีตั้งแต่มีการออก พ.ร.บ.ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นต้นมา พระราชภารกิจส่วนใหญ่ขององค์พระประมุขของอังกฤษคือ การเสด็จพบปะประชาชนทั้งในสหราชอาณาจักรและประเทศในเครือจักรภพและในประเทศอื่นๆ ด้วย

ซึ่งอาจทำให้ตีความไปได้ว่า องค์พระประมุขที่ทรงมีสุขภาพทางจิตใจสมบูรณ์ดี แต่ไม่ทรงสามารถเสด็จออกจากพระราชวังบักกิ้งแฮมหรือซานดริงแฮม (Sandringham) ได้

หรือได้แต่ด้วยความยากลำบาก อาจจะไม่ถือว่าทรงสามารถบริหารพระราชภารกิจและหน้าที่ขององค์พระประมุขในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดได้

และในขณะที่สมเด็จพระราชินีฯ และองค์รัชทายาททรงพระชนมายุมากขึ้น สภาพการณ์ดังกล่าวนี้อาจจะมีความเป็นไปได้มากที่จะเกิดขึ้น

และหากมีการตั้งประเด็นคำถามเกี่ยวกับผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ขึ้นมาในสภาพการณ์ดังกล่าวนี้ นักวิชาการกฎหมายรัฐธรรมนูญของอังกฤษเห็นว่า บรรดาผู้ที่รับผิดชอบในการประกาศแต่งตั้งนี้ย่อมจะต้องรับสนอง “ความเห็น” ขององค์สมเด็จพระราชินีฯ และองค์รัชทายาทมาพิจารณาก่อนที่จะดำเนินการใดๆ ในการประกาศแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นครั้งแรกของอังกฤษในรอบสองร้อยปี เพราะการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ครั้งล่าสุดเกิดขึ้นในรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่สาม ในช่วงเวลาที่พระองค์ทรงพระประชวร (สติวิปลาส) จนเสด็จสวรรคต (1811-1820)

และแน่นอนว่าย่อมจะต้องมีการพิจารณาหลักฐานทางการแพทย์ที่มีข้อสรุปที่ชัดเจน และย่อมต้องพิจารณาพระราชประสงค์ขององค์พระประมุข

หากพระองค์ยังทรงอยู่ในสภาวะที่สามารถสื่อสารได้ และพระราชประสงค์ของพระองค์ถือว่าเป็นหลักฐานส่วนหนึ่งด้วย

 

ซึ่งในกรณีนี้ อย่างที่ผู้เขียนได้เคยกล่าวไว้ในตอนแรกๆ ถึงสภาวะที่มีปัญหายุ่งยากของอังกฤษในปี ค.ศ.1788 ที่พระอาการประชวรของสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่สามทำให้พระองค์ไม่ทรงสามารถแสดงพระราชประสงค์ (the royal will) ผ่านพระราชหัตถเลขาในช่วงเวลาหนึ่ง

แม้ว่าพระองค์จะทรงมีพระสติปัญญาสมบูรณ์ปรกติ และกฎหมายได้กำหนดไว้ว่า พระราชประสงค์ขององค์พระประมุขจะต้องกระทำเป็นลายลักษณ์อักษรเท่านั้น

หรือสมมุติในกรณีที่องค์พระประมุขทรงประสบอุบัติเหตุบางอย่าง (เช่น อุบัติเหตุจากการขี่ม้า) และคาดการณ์ได้แน่นอนว่าพระองค์จะทรงกลับมามีพระพลานามัยปรกติในไม่ช้า

ในกรณีแบบนี้ ไม่จำเป็นต้องแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ แต่เหมาะสมที่จะใช้การแต่งตั้งสภาสำเร็จราชการแผ่นดิน

แต่การแต่งตั้งสภาผู้สำเร็จราชการแผ่นดินนั้นจะต้องกระทำโดยองค์พระประมุขเท่านั้น และปัญหาความยุ่งยากอาจจะเกิดขึ้น หากองค์พระประมุขไม่ทรงสามารถทรงพระอักษรได้ และ พ.ร.บ.ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ค.ศ.1937 ก็ไม่ได้เปิดเงื่อนไขอะไรอื่นในการแก้ปัญหาดังกล่าวนี้

สิ่งที่จะเป็นทางออกในกรณีดังกล่าวนี้ก็กลับกลายเป็นว่า ต้องหันไปใช้การแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ให้บริหารพระราชภารกิจไปจนกว่าองค์พระประมุขจะทรงพระอักษรได้

เพราะการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ของอังกฤษนั้นกระทำโดยคณะบุคคลอื่น ไม่ใช่การแต่งตั้งโดยลำพังองค์พระประมุข!