ผลเลือกตั้งที่อินเดีย ไม่ ‘แลนด์สไลด์’ อย่างที่คิด

(Photo by Money SHARMA / AFP)

แม้นายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี้ จะออกมาประกาศชัยชนะและพูดถึงการจัดตั้งรัฐบาลผสมที่นำโดยพรรคภราติยะชนตะ (บีเจพี)

แต่ผลการเลือกตั้งทั่วไปในอินเดียครั้งนี้ กลับกลายเป็นเรื่องนอกเหนือความคาดหมายอยู่ไม่น้อย และน่าจะทำให้การเป็นผู้นำเป็นวาระที่ 3 ของโมดี้ ไม่ง่ายและราบรื่นอย่างที่เคยคาดคิดกัน

การเลือกตั้งสมาชิก “โลกสภา” จำนวน 543 ที่นั่งในปีนี้ พรรคบีเจพียังคงได้รับชัยชนะ เพียงแต่จำนวนที่นั่ง ส.ส.ที่ได้รับเลือกกลับเข้ามา กลับลดน้อยลงกว่าเดิมมาก

บีเจพีครองเสียงข้างมากเด็ดขาด (เกินกว่า 272 ที่นั่ง) เพียงพรรคเดียวในการเลือกตั้ง 2 ครั้งหลังสุด คือ 282 ที่นั่งเมื่อปี 2014 และ 303 ที่นั่งเมื่อปี 2019

ซึ่งทำให้จำนวนเสียงของรัฐบาลผสมที่รวมตัวกันขึ้นเป็นกลุ่มพันธมิตรประชาธิปไตยแห่งชาติ (เอ็นดีเอ) กลายเป็นเสียงข้างมากเด็ดขาดคือ 336 เสียงในปี 2014 และ 353 เสียงในปี 2019

ทำให้นเรนทรา โมดี้ ผู้นำวัย 73 ปี บริหารอินเดียตามแนวนโยบายและความต้องการของตนเองแบบสบายๆ ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา

แต่ผลการเลือกตั้งปีนี้ บีเจพีกลับไม่ได้เสียงข้างมาก 350-400 เสียงอย่างที่มีการคาดการณ์กันไว้ก่อนหน้าการเลือกตั้ง

ผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการตามถ้อยแถลงของคณะกรรมการการเลือกตั้งอินเดีย ระบุว่าสมาชิกพรรคบีเจพีได้ชัยชนะเพียง 240 ที่นั่ง ลดลงมากถึง 63 ที่นั่งเมื่อเทียบกับการเลือกตั้งครั้งล่าสุดที่ผ่านมา สูญเสียการครองเสียงข้างมากเด็ดขาดไปเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี

แล้วก็ทำให้กลุ่มพันธมิตรร่วมรัฐบาลมีเสียงรวมเพียง 292 เสียงเท่านั้น

 

กลุ่มพันธมิตรฝ่ายค้าน ซึ่งรวมตัวกันขึ้นเป็นกลุ่มพันธมิตรเพื่อพัฒนาการแห่งชาติอินเดียแบบมีส่วนร่วม (ไอเอ็นดีไอเอ) ที่มีพรรคคองเกรส พรรคฝ่ายค้านหลักเป็นแกนนำ สามารถเพิ่มจำนวนที่นั่งในโลกสภาได้เป็นกอบเป็นกำจากการเลือกตั้งครั้งนี้

เฉพาะพรรคคองเกรสเอง ได้ที่นั่ง ส.ส.เพิ่มขึ้นเป็น 99 ที่นั่ง จากเดิมที่เคยได้ในการเลือกตั้งครั้งที่แล้วเพียง 52 ที่นั่งเท่านั้น

ในขณะที่บรรดาพรรคร่วมฝ่ายค้านก็ทำได้ดีเกินคาดเช่นเดียวกัน ส่งผลให้จำนวนที่นั่งรวมของ ส.ส.ฝ่ายค้านเพิ่มเป็น 234 ที่นั่งหลังการเลือกตั้งครั้งนี้

ยิ่งไปกว่านั้น บีเจพียังสูญเสียที่นั่งไปมากที่สุดในรัฐที่ได้ชื่อว่าเป็นเหมือน “บ้าน” ของพรรคอย่างอุตรประเทศ ซึ่งมีจำนวน ส.ส.มากที่สุดในอินเดียคือ 80 คน ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา บีเจพีกวาด ส.ส.จากที่นี่ได้ถึง 62 ที่นั่ง แต่คราวนี้กลับได้มาเพียง 33 ที่นั่ง

ในขณะที่พรรคคองเกรส ซึ่งเคยได้เพียง 6 ที่นั่งในครั้งที่แล้ว กลับกวาดได้ถึง 37 ที่นั่งในการเลือกตั้งครั้งนี้

 

นิรัญจัน ซาฮู นักวิชาการอาวุโสประจำโครงการริเริ่มทางการเมืองและธรรมาภิบาลของมูลนิธิ ออบเซอร์เวอร์ รีเสิร์ช ในนิวเดลี ยืนยันทันทีหลังมีการประกาศผลอย่างเป็นทางการว่า อำนาจและความชอบธรรมของนเรนทรา โมดี้ จะถูกบั่นทอนหายไปอย่างเห็นได้ชัดในการจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้

ซาฮูตั้งข้อสังเกตถึงผลการเลือกตั้งครั้งนี้ไว้ว่า ถือเป็นการถอยหลังก้าวใหญ่ของบีเจพี ทั้งยังแสดงให้เห็นด้วยว่า ลำพังเพียงชื่อเสียงโด่งดัง เป็นที่นิยมชมชอบในตัวโมดี้เพียงอย่างเดียว ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งได้

ผู้สันทัดกรณีไม่น้อยเชื่อว่า การที่ผลการเลือกตั้งออกมานอกเหนือความคาดหมายเช่นนี้ สาเหตุสำคัญมาจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ

ซาฮูเองเห็นพ้องด้วยและเชื่อว่า ภาวะข้าวของแพง อัตราว่างงานสูง และ ความตึงเครียดเกี่ยวกับการเกษตรกรรมในรัฐที่ทำการเกษตรเป็นหลัก อย่างเช่น รัฐปันจาบทางตอนเหนือ เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้บีเจพีสูญเสียที่นั่งไปมากเกินคาด

เขาเชื่อด้วยว่า ความพยายามเอาใจฐานเสียงที่เป็นกลุ่มชาตินิยมฮินดูด้วยการสถาปนา “วิหารแห่งราม” ขึ้นที่อโยธยา ในอุตรประเทศ และแสดงออกบ่อยครั้งถึงการต่อต้านมุสลิมของโมดี้เอง ก็มีส่วนสำคัญในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ซึ่งจะยังผลให้มีการตรวจสอบจากพรรคร่วมและทำให้พฤติกรรมทำนองนี้ลดน้อยถอยลง

นักสังเกตการณ์ทั่วไปเชื่อว่า บีเจพีจะสามารถเป็นแกนหลักจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้อีกครั้ง แต่นอกจากจะสูญเสียอำนาจในโลกสภาไปไม่น้อยแล้ว ยังจำเป็นต้องโอนอ่อนให้กับการต่อรองจากพรรคร่วมสำคัญ 2 พรรคอย่างเตลูกู เดซัม พรรคการเมืองระดับภูมิภาคจากรัฐอันธรประเทศ ภายใต้การนำของ จันทราบาบู ไนดู และ ชนะตะ ดาล พรรคของ นิฐิษ กุมาร จากรัฐพิหาร ที่จู่ๆ ก็กลายเป็น 2 พรรคที่มีอำนาจในการชี้เป็นชี้ตายในการจัดตั้งรัฐบาลขึ้นมาโดยพลัน

ดังนั้น รัฐบาลอินเดียชุดต่อไป จึงไม่ได้เป็นรัฐบาลของพรรคบีเจพี เหมือนครั้งที่ผ่านๆ มาอีกต่อไปแล้ว นโยบายสำคัญๆ โดยเฉพาะนโยบายเร่งด่วน ก็ไม่สามารถคาดการณ์ได้เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา

เช่นเดียวกันกับคำประกาศของบีเจพีที่ว่า อินเดียจะมีนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ นเรนทรา โมดี้ ต่อไปอีก 10 ปี ก็มีความเป็นไปได้จริงลดน้อยถอยลงมากเช่นกัน

ไม่แน่นัก ผลการเลือกตั้งอินเดียในปีนี้ อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในอินเดียครั้งใหญ่อีกครั้ง