“อุโมงค์ขุนตาน”มหากาพย์ทะลวงภูเขา สร้างนานกว่า 14 ปี กับ”วิบากแรงงานฝิ่น”

เพ็ญสุภา สุขคตะ

“อุโมงค์ขุนตาน” กับ “วิบากแรงงานฝิ่น”

“แรงงาน” ที่มีส่วนช่วยให้การก่อสร้าง “อุโมงค์รถไฟขุนตาน” บรรลุผลสำเร็จ

ที่น่าอัศจรรย์ใจคือ แรงงานเหล่านี้หาใช่แรงงานธรรมดาทั่วไปไม่ หากเป็น “แรงงานฝิ่น”!

ในยุคสมัยที่สังคมไทยถูกชาวตะวันตกบังคับให้จ้องจับผิดคนจีนสูบฝิ่น กอปรกับนโยบาย “ชาตินิยมต่อต้านชาวจีน” ของรัชกาลที่ 6 ก็มีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

แต่จะให้ทำเช่นไรได้ ในเมื่อ “แรงงานฝิ่น” เป็นทางออกสุดท้ายสำหรับการขุดเจาะอุโมงค์รถไฟขุนตานเมื่อ 100 กว่าปีก่อน

จอมพล สมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าฯ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช ฉาย ณ ปากอุโมงค์ขุนดาลด้านทิศเหนือ ในเขตจังหวัดลำพูน เมื่อครั้งเสด็จฯ พ.ศ.2459 (ภาพจากสำนักศิลปากรเชียงใหม่)

ปริศนานาม “ขุนตาน-ขุนตาล”

ชื่อ “ขุนตาน” – “ขุนตาล” นั้นหมายถึงอะไร และสะกดอย่างไรกันแน่ ทำไมจึงใช้ปะปนมั่วไปหมด

อุโมงค์รถไฟขุนตาน สถานีรถไฟขุนตาน แต่ครั้นพอเอ่ยถึงอุทยานกับวัด ซึ่งสร้างขึ้นภายหลังจากสถานีรถไฟ กลับแผลงเป็น อุทยานแห่งชาติขุนตาล กับ วัดดอยขุนตาล ไปเสียนี่

อันที่จริงเรื่องนี้ได้เคยมีการจัดเวทีเสวนาหลายครั้ง ได้ข้อสรุปมานานกว่าสิบปีแล้วว่า “ขุนตาน” นั้นเป็นคำที่ถูกต้องกว่า “ขุนตาล”

เพราะต้นตาล ไม่ใช่พันธุ์ไม้ที่เติบโตบนยอดเขาสูง

เพียงแต่ว่า “ตาน” ตัวนี้
จะมาจากความหมายใดเท่านั้นเองระหว่าง

ปากอุโมงค์ขุนตาลทางด้านทิศใต้ ปี พ.ศ.2459 (ภาพจากสำนักศิลปากรเชียงใหม่)

นัยแรก “ขุนธาร” มาจากขุนเขา+ลำธาร แล้วเรียกแบบภาษาเหนือกลายเป็นขุนตาน โดยมีน้ำแม่ตาน อยู่ไม่ไกลกัน

หรือจะหมายถึง “ขุนต้าน” ตามที่พงศาวดารโยนก กล่าวถึงเหตุการณ์ตอนที่ “พระญาเบิก” กษัตริย์องค์สุดท้ายของเขลางค์นคร ผู้เป็นพระราชโอรสของพระญาญีบากษัตริย์องค์สุดท้ายของหริภุญไชยนคร ได้สร้างวรีกรรม “ต้านกองทัพ” ของขุนครามโอรสพระญามังราย ที่ยกมาตีนครหริภุญไชยในปี 1824 อย่างแข็งขัน พระญาเบิกอาสาต้านทัพจนตัวตาย เปิดทางให้พระญาญีบาผู้พ่อซมซานหนีตายรอดชีวิตไปได้

พระญามังรายจึงให้ขุนครามปลงศพ “พระญาเบิก” เพื่อถวาย “ทาน” แด่ขุนเขา “ทาน” ตัวนี้คนเหนือออกเสียงว่า “ตาน” นั่นเอง

ทุกวันนี้ยังมีศาลเจ้าพ่อขุนตาน ซึ่งชาวลำพูน-ลำปาง เชื่อว่าเป็นที่สิงสถิตดวงวิญญาณของพระญาเบิกและพระญาญีบา

ไม่ว่า “ขุนตาน” จะมีที่มาจากชื่อใดกันแน่ … “ขุนธาร” “ขุนต้าน” หรือ “ขุนทาน” แต่เห็นได้ว่าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับ “ต้นตาล” อย่างแน่นอน

เป็นความเข้าใจผิดของเหล่าข้าราชการจากส่วนกลาง ที่ชอบดูถูกชาวบ้าน คิดเองเออเองว่า “ตาน” ไม่เห็นมีความหมายอะไรเลย นอกจาก “ตานขโมย” สงสัยชาวบ้านจะตกภาษาไทย อย่ากระนั้นเลยจึงขอเปลี่ยนใหม่ให้เป็น “ขุนตาล” ดีกว่า

อนึ่ง ในตำนานการสร้างพระธาตุผาเงา เชียงแสน จังหวัดเชียงราย ยังมีการกล่าวถึงวีรบุรุษในท้องถิ่นที่มีชื่อนำหน้าว่า “ขุน” เริ่มจาก “ขุนรัง” ผู้สร้างเจดีย์ดอยชันหรือพระธาตุผาเงา มีทายาทสืบเชื้อวงศา 12 ขุน ได้แก่ ขุนผาพิงค์ ขุนรัว ขุนช้าง ขุนลาน ขุนตาน ขุนตง ขุนแตง ฯลฯ ทั้งหมดเรียกว่าขุนกินเมือง

“ขุนตาน” ได้ยกทัพขยายไปประชิดติดเมืองลำปาง เพื่อเข้าสู่ลำพูน จนไปพบถ้ำถ้ำหนึ่ง และถ้ำนั้นได้ชื่อว่าถ้ำขุนตานมาจนเดี๋ยวนี้

ทว่า ตำนานหน้านี้ออกจะขัดแย้งกับการรับรู้ดั้งเดิมของชาวลำพูน-ลำปาง อยู่สักหน่อย อีกทั้งไม่ระบุศักราชของเรื่องราวว่าตรงกับรัชกาลใดของราชวงศ์จามเทวีหรือราชวงศ์มังราย

1024px-%e0%b8%ad%e0%b8%b8%e0%b9%82%e0%b8%a1%e0%b8%87%e0%b8%84%e0%b9%8c%e0%b8%82%e0%b8%b8%e0%b8%99%e0%b8%95%e0%b8%b2%e0%b8%992

โศกนาฏกรรมแห่งแรงงานทาส แรงงานฝิ่น

จุดเด่นของอุโมงค์รถไฟขุนตานคือ นอกจากจะมีความยาวมากที่สุดในประเทศไทย (ภายหลังปี 2564 อุโมงค์รถไฟผาเสด็จ-หินลับ อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี จะกลายเป็นอุโมงค์ที่ยาวที่สุดแทน) และสร้างบนที่สูงที่สุดในประเทศไทยแล้ว ยังต้องใช้ระยะเวลาก่อสร้างนานที่สุดอีกด้วย คือนานถึง 14 ปี

ถือเป็นทางรถไฟสายวิบากยากเข็ญที่สุดในตำนานการรถไฟไทยก็ว่าได้ ซึ่งคงไม่ง่ายนักสำหรับเทคโนโลยีอันจำกัดของชาวสยามเมื่อยุค 100 ปีก่อน ด้วยเหตุนี้ จึงต้องจ้างวิศวกรชาวเยอรมันนามว่า “เอมิล ไอเซนโฮเฟอร์” มาควบคุมและวางแผนการก่อสร้าง

คนในท้องถิ่นเรียกเขาย่อๆ ว่า “โฮเฟอร์” บุรุษผู้มีความรักในแผ่นดินขุนตานอย่างสุดซึ้ง

เพราะแม้ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ปี 2482 เขาจักเคยถูกส่งตัวกลับประเทศเยอรมนีไปแล้ว ในฐานะที่ไทยอยู่ฝ่ายสัมพันธมิตร แต่เมื่อสิ้นสุดสงคราม ปี 2488 เขายังอุตส่าห์เดินทางกลับมาใช้ชีวิตที่แม่ทาอีกครั้ง

ปัจจุบันอัฐิของเขายังคงสถิตในอนุสาวรีย์เล็กๆ อยู่ ณ ปากอุโมงค์ขุนตานทางด้านทิศเหนือ เขตแม่ทา ลำพูนด้วย

ภาพจาก พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก

การก่อสร้างอุโมงค์มาราธอนนี้ มีขึ้นระหว่างปลายรัชกาลที่ 5-รัชกาลที่ 7 คือเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2450 ไปเสร็จสิ้นในปี 2464 ถือเป็นทางรถไฟสามแผ่นดิน

ความยากเข็ญในการก่อสร้างคือต้องทะลวงภูเขาอันทึบตัน โดยไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือทันสมัยเหมือนในปัจจุบัน อุปกรณ์หลักมีเพียง ค้อน สิ่ว เสียม ชะแลง พลั่ว ต้องใช้แรงคนเป็นส่วนใหญ่ ใช้เวลาขุดเจาะกันนานถึง 8 ปี จึงทะลุถึงปลายทาง

ปริมาณหินที่ได้จากการขุดเจาะมากกว่า 60,000 ลูกบาศก์เมตร ถูกขนออกมาถมลำห้วยปากถ้ำจนกลายเป็นที่ตั้งของตัวสถานีรถไฟขุนตานที่ราบเรียบในปัจจุบัน

ภาพจาก นิพัทธ์ ทองเล็ก

แรงงานก่อสร้างต่อจากขั้นตอนการขุดเจาะคือการผูกเหล็กและเทคอนกรีต กรรมกรในขั้นตอนหลังนี้ส่วนใหญ่เป็นชาวไทใหญ่ (มักถูกเรียกอย่างเหยียดหยามว่าเงี้ยว) และคนอีสาน เนื่องจากยุคนั้นมีทางรถไฟสายกรุงเทพ-โคราชแล้ว ทำให้แรงงานอีสานหลั่งไหลเข้ามาสมัครทำงานเพื่อแลกค่าตัวไปไถ่อิสรภาพให้พ้นจากความเป็นทาส

การเลิกทาสแม้จะมีตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 แล้ว แต่สำหรับชนบทรอบนอกดังเช่นมณฑลพายัพนั้นเพิ่งจะเริ่มมีในสมัยรัชกาลที่ 6 ด้วยการออก “พระราชบัญญัติลักษณะทาษศก 124” มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ.2455 เป็นต้นไป

ผลของพระราชบัญญัติฉบับนี้ ทำให้ทาสที่มีอยู่จะลดค่าตัวลงเดือนละ 4 บาท จนหมดค่าตัว และค่อยๆ หมดไป เห็นได้ว่า ปี 2455 เป็นปีเดียวกันกับที่เริ่มต้นเอาแรงงานทาสมาสร้างอุโมงค์ขุนตาน

ในขณะที่ขั้นตอนการขุดเจาะช่องภูเขาในอุโมงค์ต้องใช้กรรมกรชาวจีน และไม่ใช่ชาวจีนธรรมดา หากแต่ต้องเป็นจีนติดฝิ่นเท่านั้น!

5

การจ้างแรงงานฝิ่นครั้งนี้มิได้ทำไปด้วยความชื่นชอบ แต่เพราะความจำเป็นด้วยไม่มีทางเลือกอื่น เหตุที่คนสูบฝิ่นนั้นจะมีธรรมชาติพิเศษ นั่นคือมีความอดทนทรหดต่อการขาดอากาศหายใจได้นาน ไม่ต้องพึ่งพาอ็อกซิเจนในปริมาณที่มากเท่ากับคนปกติธรรมดา จึงสามารถทำงานในอุโมงค์ได้นานถึงวันละ 8 ชั่วโมง

ควบคู่ไปกับ “หน้าฉาก” ที่มีการจัดตั้งสำนักสงฆ์ขึ้นเพื่อเยียวยาจิตใจแรงงานซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธ แต่หลังฉากนั้น ไอเซนโฮเฟอร์ได้ติดต่อกับรัฐบาลสยามให้จัดส่ง “ฝิ่น” มาจำหน่ายแก่แรงงานอย่างเปิดเผย โดยไม่ขัดต่อข้อกฎหมาย เพื่อให้แรงงานไม่ต้องพะว้าพะวังว่าจะไม่มีฝิ่นสูบ แล้วหันเข้าหาการพนันแทน

เพื่อสะดวกแก่การขนเศษหินออกและเพื่อระบายอากาศ เมื่อตกถึงกลางคืนมีการแจกโคมไฟให้กรรมกร 2 คนต่อโคม 1 ดวง เรียกว่า “โคมเป็ด” มีลักษณะเป็นเครื่องมืออัดลมสั่งตรงมาจากเยอรมนี สำหรับช่วยดูดควันพิษออกมา และช่วยสูบน้ำเข้าไปในอุโมงค์ให้คนงานใช้อาบลดอุณหภูมิความร้อนอีกโสดหนึ่งด้วย

โคมเป็ดมีรูปร่างคล้ายเป็ด แต่ไม่มีหัว-ไม่มีขา คอเป็ดมีรูใส่ไส้ตะเกียงยื่นออกมา บนหลังมีห่วงเพื่อให้ลวดหรือเชือกร้อยได้ ใช้แขวน-หิ้วได้ เชื้อเพลิงที่ใช้คือน้ำมันก๊าดผสมน้ำมันมะพร้าว เมื่อกรรมกรเจาะลึกเข้าไปในถ้ำมากขึ้น การขนเศษหินดินก็ไม่สะดวกตามไปด้วย เมื่อกรรมกรอยู่ในอุโมงค์เป็นจำนวนมาก การใช้โคมก็มากตามไปด้วย ทำให้อากาศมีน้อย มีการตั้งเครื่องเป่าอากาศที่ปากอุโมงค์ ถ้าหากตอนใดที่อุโมงค์ไม่หนาก็จะเจาะปล่องทะลุขึ้นไปบนหลังเขา

วิธีแก้ไขเรื่องอากาศไม่พอหายใจในอุโมงค์ ทำได้ด้วยการขุดปล่องทะลุถึงตอนบนหลายๆ ปล่อง แล้วใช้ไม้ตีประกบกันเป็นรูปโรงสีไฟ จากนั้นก็ขนเศษไม้ฟืนจุดไฟในอุโมงค์เพื่อไล่อากาศอับทึบออกไปตอนบน และปล่องก็จะดูดอากาศเข้ามาถ่ายเท ทำให้คนงานสามารถเจาะอุโมงค์ได้ลึกไปเรื่อยๆ

การขุดเจาะดำเนินตลอด 24 ชั่วโมงทุกวันทุกเดือน เป็นเวลาถึง 8 ปี กว่าที่อุโมงค์มาบรรจบกันระหว่างฝั่งลำปางกับลำพูน

กว่าอุโมงค์จักสำเร็จ โครงการนี้ต้องสังเวยแรงงานทาส แรงงานฝิ่นไปหลายร้อยศพ โดยเฉพาะกลุ่มของกรรมกรฝิ่นที่ยอมอุทิศตน เหตุเพราะกรรมกรอื่นๆ ไม่ยอมเสี่ยงตายเข้าไปทำงานในอุโมงค์

ปากอุโมงค์ขุนตานด้านทิศเหนือ เจ้าพระยาวงศานุพันธ์ (มรว.สะท้าน สนิทวงศ์ ณ อยุธยา) ตําแหน่ง เสนาบดี กระทรวงคมนาคม พร้อมคณะตรวจการขุดอุโมงค์ เมื่อ พ.ศ. 2454 (ภาพจากสำนักศิลปากรเชียงใหม่)

สิ่งที่ถือว่าเป็นการเอาเปรียบแรงงานทางชนชั้นก็คือ หากกรรมกรฝิ่นไม่ยอมทำงาน พวกเขาก็จะต้องทนทรมานตัวเองด้วยการไม่มีฝิ่นสูบ เพราะก่อนที่จะเข้าอุโมงค์ในแต่ละผลัด เจ้าหน้าที่รัฐจะให้กรรมกรยืนรอเบิกฝิ่นที่จะจ่ายให้คนละหลอดพร้อมด้วยเทียนไข และอีกครั้งหนึ่งจ่ายในเวลาเย็น ทุกครั้งที่มีการเบิกฝิ่นก็จะหักเงินค่าแรงงานจากบัญชีของแรงงานผู้นั้น ส่วนฝิ่นที่ได้ก็มาจากการส่งส่วยของชาวบ้านแถบลำพูน-ลำปางในละแวกนั้นเอง

ครั้นอุโมงค์สร้างเสร็จ กลุ่มเจ้านายฝ่ายเหนือเมืองลำพูน ลำปาง เชียงใหม่ กลับรู้สึกไม่ค่อยพอใจนัก เพราะมันย่อมหมายถึง การขนไม้สักลงไปเพื่อส่งส่วยรัฐบาลสยามก็จักสะดวกดายยิ่งขึ้น ทางรถไฟสายนี้จึงไม่ต่างอะไรไปจาก “โบกี้ไม้ซุง”

เก็บเกร็ดมุขปาฐะเล็กๆ น้อยๆ มาเล่าให้ฟัง จะได้เห็นเบื้องหลังการก่อสร้างอุโมงค์รถไฟขุนตาน ว่าต้องฟันฝ่าอุปสรรคขวากหนามอะไรมาบ้าง ในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา

วิญญาณของไอเซนโฮเฟอร์และแรงงานฝิ่นชาวจีน คงสะเทือนใจไม่น้อย หากรับรู้ว่า ประเทศไทยกำลังจะมีนโยบายโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง และรถไฟรางคู่ ด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัย ยุคนี้คงไม่ต้องเหนื่อยยากหลอกล่อกรรมกรให้ต้องสูบฝิ่นเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว

แต่น่าสังเวชใจยิ่งนัก ที่โปรเจ็กต์หลายอย่างกลับถูกแช่แข็งด้วยเกมทางการเมืองจากพรรคฝ่ายแค้น

(ภาพจากสำนักศิลปากรเชียงใหม่)

 

 

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 ธ.ค. 2016